Friday, February 22, 2019

Travel with dailydelicious, Historical EATING (and something else) : Kyoto 2018 part 2


อาจจะลืมกันไปแล้วนะคะ ว่าปุ๊กยังเขียนบล็อกที่ไปเที่ยวยี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้วไม่จบ 555 ตอนนี้ พร้อมจะมาเล่าให้ฟังต่อแล้วล่ะค่ะ ว่าได้เจออะไรมาบ้าง 
อ่านบล็อกแรกได้ที่นี่นะคะ



วันที่ 2 ของเกียวโต วันนี้ ปุ๊กจะไปทำความฝันให้เป็นจริงค่ะ นั่นก็คือ การใส่ Furisode (振袖) หรือกิโมโนแขนยาว
โอ๊ะๆ บอกก่อนว่า ปุ๊กไม่ได้ไปฉลองอายุครบ 20 ปีค่ะ 555 เพราะ กิโมโนแบบนี้ จะใส่ในงานฉลองการเป็นผู้ใหญ่ โดยแสดงให้เห็นว่า เธอไม่ได้เป็น เด็กผู้หญิง แต่เป็นสาวเต็มตัว, เป็น โสด ....... และพร้อมที่จะแต่งงานได้ อิอิ แต่อย่างเข้าใจผิดนะคะ ปุ๊กแค่อยากลองใส่ สักครั้ง เพราะมันเป็นกิโมโนที่สวย และดู หรูหรามากๆ แต่ปุ๊กยังมีความสุขกับการอยู่คนเดียวอยู่ค่ะ
โดยร้านที่เราไปเช่าชุดกิโมโนคือร้าน  京都きものレンタルwargo京都駅前京都タワー ซึ่งหลังจาก เปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว เราจะไปชงชากันค่ะ (茶道).



โดยเราจองคิวไว้ที่ Tea ceremony Juanin, ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศไม่ร้อนนะคะ ถึงการใส่ โซริ (Zōri 草履- Japanese Sandals) จะทำให้เดินยาก แต่เราก็รู้สึกสนุกกันมากค่ะ 



เมื่อไปถึงห้องชงชา เราก็เข้าไปนั่งประจำที่ โดยนอกจากพวกเราแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวอีก 4 คน ที่เข้าร่วมด้วย 
การชงชา เริ่มต้นด้วยการที่อาจาร์ย ชงชาเข้มๆ  (koicha-お濃茶・おこいちゃ) ให้พวกเราดื่มกันก่อน โดยบอกตรงๆ ว่า ในเวลานั้น แอบช็อคค่ะ เพราะการดื่ม โคอิชา จะดื่มโดยแต่ล่ะคนจะจิบเพียง 1 จิบ แล้ว ส่งต่อให้คนข้างๆ ดื่มต่อหลังจากที่เราเช็คถ้วยชา ด้วยกระดาษแล้ว 
แค่ดื่มหรือทานอาหารร่วมกับคนอื่น สำหรับปุ๊กก็เป็นเรื่องยากแล้วนะคะ นี่ต้องดื่มร่วมกับคนที่ไม่รู้จักเลย แต่ก็ดื่มค่ะ เพราะไม่อยากจะเสียมารยาท
ดังนั้น หากใครไม่อยากดื่มร่วมกับคนอื่นลองจองแบบเฉพาะกรุ๊ปตัวเอง ก็จะสบายใจกว่านะคะ 



หลังจากนั้น เราแต่ล่ะคนก็ได้ลองชงชา(usucha-お薄・おうす)ด้วยตัวเอง แล้วดื่มพร้อมกับ ขนมญี่ปุ่น (wakashi-和菓子) ซึ่งความขมของชาเขียว เข้ากันดี กับความหวานของขนมญี่ปุ่นมากๆ นะคะ



พิธีชงชา ต่างจากการไปงานน้ำชา เพราะเราไปได้เข้าร่วม เพื่อการนั่งคุยเสียงดังสนุกสนาน แต่เราจะได้เรียนรู้ที่จะชื่นชมกับสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ถ้วยชา, ขนมหวานที่เสิร์ฟคู่กัน, ภาพวาด หรือ ตัวอักษรที่ประดับในห้อง, ดอกไม้ที่จัดไว้ ทุกอย่างสื่อให้เห็นถึงธรรมชาติ และฤดูกาล หรือจะพูดอีกอย่างพิธีชงชา คือการที่เราจะได้ชื่นชม และเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติค่ะ 



เพื่อจะให้เข้ากับทีมของการเดินทางครั้งนี้ เราเลือกที่จะไปทานอาหารเบาๆ กันที่  Kaikado Café คาเฟ่สวยๆ ที่ตั้งอยู่ในตึกอายุเก่ากว่า 90 ปี 



開化堂 (Kaikado) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1875, โดยเป็น ร้านที่มีชื่อเสียงในเรื่องถ้ำชา เมื่อมาถึงรุ่นที่ 6 ของร้าน นอกจากจะขยายการขายถ้ำชาไปยังต่างประเทศแล้ว ยังได้ เปิดร้านคาเฟ่ ขึ้นมาด้วย 
โดยบรรยากาศของร้านเงียบสงบ และยังสามารถซื้อสิ้นค้าสวยๆ ของ Kaikado ได้ที่นี่ด้วย



เราสั่งกาแฟ พร้อมกับอาหาร และของหวานนิดหน่อย เพราะยังมีของต้องทานอีกเยอะในวันนี้



อุปกรณ์ จานชามที่ใช้จัดเสิร์ฟ สวยงามจนแทบอยากจะซื้อกลับบ้านเลยล่ะค่ะ 






ร้านนี้ ถ้ามาต้องไม่พลาดจานนี้ค่ะ คือ  Kaikado cheesecake ที่ริซ และไม่หวานจัด ทานเพลินจนหมดแบบไม่รู้ตัวเลย 
เมื่อเสร็จมื้อสาย ก็ถึงเวลาที่เราจะไปเดินเล่นสวยๆ กันแล้วค่ะ 555 ก้นะ ชุดกิโมโนสวยๆ ก็ต้องเหมาะกับที่สวยๆ ที่มีบรรยากาศเก่าแก่ แบบย่านกิองนะคะ โดยเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราขึ้นแท็กซี่ไปกันค่ะ
ความตั้งใจของปุ๊กคือการไปร้าน  無碍山房 Salon de Muge ซึ่งเป็นคาเฟ่ขนมญี่ปุ่น สวยๆ ในสวน แต่พอไปถึงก็พบว่า ปิด เราเลยต้องเปลี่ยนแผนค่ะ



แต่ในย่านกิอง การหาร้านขนมญี่ปุ่นอร่อยๆ เป็นเรื่องง่ายนะคะ เราเลยเดินไป ร้าน Rakushō (洛匠 - らくしょう) แทน



โดยที่นี่มีขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นให้เลือกทานหลายแบบนะคะ แล้วก็อร่อยด้วย



แต่การเดินทางตามล่าของหวานของเราเพิ่งเริ่มขึ้นค่ะ และนอกจากจะต้องทานเยอะๆ แล้ว วันนี้ เราตั้งใจจะเดินกันเยอะๆ เพื่อเผาผลาญของที่พวกเรากินกันเข้าไปด้วยค่ะ  !!!!!!



สถานีของหวานที่เราแวะต่อคือ JEREMY&JEMIMAH.



ร้านนี้ขายสายไหม ที่มีขนาดใหญ่มากกกกกกกกกกกกกก, สามารถลองเทียบกับหน้าของปุ๊กได้นะคะ ^^.



รสที่เราเลือกทาน ตามคำแนะนำของพนักงานคือ Sakura Mochi ซึ่งอร่อยมากนะคะ มันออกเค็มๆ หวานๆ ไปพร้อมๆ กัน พวกเราแบ่งกันทาน จนเกือบหมดก้อน ไม่น่าเชื่อว่าจะทานได้เยอะขนาดนั้นค่ะ 



ก่อนที่เราจะไปทานขนมต่อ เราก็เดินย่อย ในแถบนี้ล่ะค่ะ แต่ต้องยอกรับว่า กิโมโนแขนยาว กับกล้องน้ำหนักเกือบ 2 กิโล มันไปด้วยกันได้ยากมากนะคะ แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ปุ๊กก็ยังคงไม่หยุดถ่ายรูปค่ะ



เอาล่ะค่ะ ตอนนี้พร้อมที่จะเติมอาหารเข้าไปในตัวแล้ว เราก็ไม่รอช้า ร้านอยู่ในกิองนี้เองค่ะ เป็นร้านน้ำแข็งใสที่ชื่อว่า  GION NITI (祇園NITI).



น้ำแข็งใสอร่อยมากค่ะ แต่ที่สำคัญกว่าความอร่อยของน้ำแข็งใส คือ ความน่ารักของพนักงาน เพราะเมื่อคุณพี่สาวถามว่า ข้างในของน้ำแข็งใสคืออะไร เธอก็รีบเข้าไปในครัว แล้วออกมาพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นเพื่อจะอธิบายให้เราฟังค่ะ



คงจะเริ่มแปลกใจใช่ไหมคะ ว่า พวกเรา อยู่กันแบบไม่มีอาหารคาวกันได้ยังไง ก็เพราะเย็นนี้ เราจะไปทานมื้ออร่อย ที่ร้านเทมปุระที่ขึ้นชื่อมากๆ ร้านหนึ่งของเกียวโตค่ะ



โดยที่นี่มีชื่อว่า Yoshikawa Inn (料理旅館・天ぷら 吉川) ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 1952.



โดยเราจองเป็นที่นั่งเคาเตอร์ เพราะเราได้เห็นเชฟ ที่อาหาร และทอดเทมปุระให้เราทานแบบตรงหน้าเลย 



โดยคอร์สอาหารที่เราเลือกคือ  "Karigane".



อาหารที่จะเสิร์ฟในเช็ตคือ
1 Appetizer
1 Sashimi








เทมปุระ 14 ชิ้น (11 ประเภท) 






1 A Refreshment Dish
1 Rice with Miso soup, Pickles
และของหวานเป็นผลไม้



คืออาหารเยอะมากนะคะ แต่ความสดของส่วนผสม เป็นสิ่งที่ทำให้อาหารอร่อยแบบไม่น่าเชื่อ ถ้าใครชอบทานเทมปุระ อยากให้หาโอกาสลองไปทานร้านเฉพาะแบบนี้ค่ะ เพราะมันแตกต่างจากการทานในร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป ^^

จบวันนี้แบบอื่มในกาย และใจ (ได้ใส่ชุดสวยๆ) เราก็กลับไปนอนหลับฝันดีกันที่โรงแรมค่ะ 



วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่เกียวโตในทริปนี้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าเที่ยวไม่พอนะ
วันนี้เราตื่นเช้า เพื่อที่จะนำกิโมโนไปคืนก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นต่อ 
แต่พอตื่นเช้าๆ ก็จะหิวมากกว่าปรกตินะคะ ดังนั้น ขอแวะซื้อขนมปังที่ร้าน  Oreno pan (オレノパンที่สถานีเกียวโตกันก่อนแล้วกัน



บอกตรงๆ ว่าชอบครัวซองค์ของที่นี่มากค่ะ 







มันเป็นครัวซองต์ที่รสชาติดี แล้วยังกรอบร่วน แต่คงต้องลองทานเองจะอธิบายได้ดีกว่านะ 555



เพราะครั้งนี้ อยากจะเรียนรู้เกียวกับเกียวโตให้มากขึ้น เราเลยจองเวิร์คช็อปที่  Marumasu-Nishimuraya (丸益西村屋) เพื่อลองทำการย้อมผ้า Kyo-Yuzen 







การย้อมผ้าแบบนี้ คือการระบายสีลงบนผ้าโดยตรง ซึ่งเป็นเทคนิคที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุดเอโดะ 



วิธีทำมันง่าย แล้วก็สนุกมากด้วยค่ะ โดยทางร้านจะให้เราเลือกของที่เราอยากจะทำ โดยมีทั้งปกหนังสือ, ผ้าเช็ดหน้า, ถุง และอื่นๆ แล้วเราก็เลือกลายที่เราอยากจะใช้ แล้วก็ลงมือระบายสีกันเลย
เพราะทั้งง่าย และสนุก พวกเราทำไปหลายชิ้นมากกว่าที่ตั้งใจไว้ อืม.... หรือจริงๆ แล้ว นี่คือก้าวแรกของการเป็นศิลปินของพวกเรากันนะ อิอิ 



นอกจากจะมีเวิร์คช็อปให้ได้ลงมือทำแล้ว ที่นี่ยังมีมุมขายของที่ทำจากผ้า โดยส่วนใหญ่ เป็นงานฝีมือค่ะ 



ตอนที่เราออกมาจากร้านผ้า ก็เที่ยงแล้ว เราเลยต้องมารอคิวค่อนข้างนานที่ ร้าน Honke Owariya(本家尾張屋本店



ร้าน Honke Owariya(本家尾張屋本店) นี้ เป็นร้านโซบะ ที่เปิดตั้งปี คศ. 1465 (ในปี คศ.2018 ร้านมีอายุ  553 แล้วค่ะ).



ปุ๊กสั่งเมนูที่ดูอลังการณ์มากคือ 宝来そば (Hourai Soba)



โดยเป็นโซบะ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับท็อปปิ้ง 8 แบบ : shiitake mushrooms, shredded thin omelet, sesame seeds, shrimp tempura, wasabi, nori, Japanese leeks และ grated daikon.



นอกจากนั้น ยังมีกระดาษที่บอกวิธีที่จะทานให้อร่อยมาด้วย 




เมื่อเปิดมาแต่ล่ะชั้น เราจะพบ โซบะอยู่ในนั้นค่ะ



แล้วก็เลือกใส่ท็อปปิ้งตามชอบ, อร่อยๆค่า!!!.



อิ่มท้องกันแล้ว วันนี้ เราจะไปสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังมากๆ แห่งหนึ่งของเกียวโตก็คือ Kinkaku-ji (金閣寺).



ดังแค่ไหน ปุ๊กคงไม่ต้องบอก และหากใครชอบอิคิวซังก็คงจะคยิ่งคุ้นเคยกันดีใช่ไหมคะ 



ตัวตึกสีทองสวยมากนะคะ แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะมาก และจะถ่ายรูปให้สวยก็ยากมากด้วย เพราะไม่สามารถจะใช้ขาตั้งกล้องได้ด้วย (เข้าใจค่ะ ว่าอาจจะรบกวนคนอื่นได้) 
แต่โชคดีที่เราสามารถขยับเข้าไปอยู่ตรงรั้วได้ ปุ๊กเลยสามารถใช้รั้วแทนการใช้ขาตั้งได้ เย้ๆ 



ปุ๊กว่า ที่นี่สวยที่สุด น่าจะเป็นรูปที่สะท้อนจากผิวน้ำค่ะ คิดว่า หลายๆ คนน่าจะเห็นด้วยกับปุ๊กนะคะ 



เราออกจาก Kinkaku-ji ตอนประมาณ 4 โมงเย็น ตอนนี้เราก็หิวของหวานกันแล้วค่ะ



เราก็เลยรีบไป Toraya Karyo Ichijo (虎屋菓寮 京都一条店) กัน ตอนไปถึง ก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ร้านปิด 6 โมงเย็น เราเลยมีเวลาน้อยนะคะ ร้านนี้ ปุ๊กชอบมากตั้งแต่ตอนมาเกียวโตครั้งแรก  ถ้าอยากรู้ว่าน่าประทับใจแค่ไหนลองอ่านที่ โพสนี้ได้ค่ะ).




เย็นนี้ เรามีนัดจะไปทานอาหารเย็นมื้อพิเศษกับ Matsumiyasan ที่ร้านเพื่อนของคุณป้ากันค่ะ  



โดยร้านที่เราไปชื่อว่า 和○輪 miyakoの台所 (〒605-0089 京都府京都市東山区元町367-8) เจ้าของร้านคือ Miyakosan ที่เป็นคนทำอาหารในเราทานในคืนนี้ค่ะ 



เป็นร้านเล็กๆ ที่มี 10 ที่นั่ง โดยอาหารของทางร้าน เป็น home style Kyoto food คืนนี้ มีพวกเรากัน 5 คนเท่านั้นค่ะ 



ปุ๊กเริ่มต้นมื้อด้วย Reishu ( 冷酒) หรือสาเกเย็น (ปุ๊กชอบมากๆ หลังจากทริปนี้ล่ะค่ะ).



เริ่มต้นความสุขของคืนนี้ ตั้งแต่การได้เลือกแก้วเองเลยล่ะค่ะ 



อาหารที่เรียบง่าย ทำด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาล ในท้องถิ่น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือทุกจานถูกปรุงด้วยความใส่ใจ 






Miyakosan น่ารักมากๆ ค่ะ ที่ประทับใจสุดๆ คือ ตอนที่ปุ๊กลองชิม Yuzukocho (柚子胡椒- ส้มยูสุ ที่ผสมกับพริก แล้วนำไปหมักเกลือ) แล้วปุ๊กบอกว่า ขอถ่ายรูปเพราะชอบมากๆ จะไปหาซื้อ เธอหันไปหยิบมาให้ปุ๊ก 1 ขวดทันที บอกว่า ให้เป็นที่ระลึก ^^  



ร้านแบบนี้ นอกจากบรรยากาศเป็นกันเองแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือ การที่เราได้เห็นใครสักคน ทำอาหารให้เราพร้อมกับกับรอยยิ้มนะคะ 



พวกเราทานกันเยอะมาก จำไม่ได้เลยว่าทานไปกื่จาน 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อร่อยทุกจานเลยล่ะค่ะ 



นอกจากอาหารค่ำมื้ออร่อย ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะแล้ว เมื่อเราบอกเธอว่า เราจะไปนาโกย่า โดยขึ้นรถไฟเที่ยวเช้า เธอก็ทำข้าวปั้น แล้วแพ็คให้ บอกให้เราเอาไว้ทานเป็นอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ความอบอุ่น และประทับใจแบบนี้ ทำให้เราเดินออกจากร้านด้วยความตั้งใจว่า จะต้องกลับไปเยี่ยมเธออีกให้ได้เลยค่ะ 



เรานั่งแท็กซี่กลับโรงแรม พร้อมความสุขใจ คืนนี้ เราได้ย้ายมาอยู่ห้อง studio with loft bed แทน ซึ่งเจ้าหลานสาวตื่นเต้นมาก (เป็นเด็กๆ นี่ดีนะคะ เขามีความสุขได้กับทุกอย่างเลย) 
เข้านอนอย่างสงบ (เพราะสาเกเย็นจำนวนมาก อิอิ) เพื่อพรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปยังเมืองนาโกย่า ที่มีของอร่อยรอเราอยู่อีกเพียบค่ะ

No comments:

Post a Comment

Printfriendly