Saturday, July 31, 2010

Chicken Farm Baker's Project # 24 : SCENT of FLOWERS





ถึงเวลาของ Chicken Farm Baker's Project # 24 : SCENT of FLOWERS, (คราวนี้ ปุ๊กโพสในนี้ ช้ามากนะคะ เพราะได้โพสร่วมกับเพื่อนอุ้มในบล็อกของอุ้มไปก่อนแล้ว) ซึ่งคราวนี้ เกด อยากให้พวกเรา ได้ลองทำขนมที่มีส่วน ประกอบอย่างหนึ่ง เป็น ดอกไม้ค่ะ โดย ต้องใช้ ดอกไม้เป็น ส่วนประกอบในการตกแต่งด้วย  คราวนี้ ปุ๊กได้มีโอกาสไปทำเค้กนี้ ที่บ้านอุ้มที่อิตาลี่ค่ะ (ตอนแรกก็นึกว่า จะต้องสกิปซะแล้วค่ะ เพราะตารางแน่น 555 อยากเที่ยว แต่พอดีว่า มีวันที่ว่างๆ ก็เลยมีโอกาสได้ทำขนมกัน เลยสบายใจหน่อย ^^) คราวนี้เลยเป็น ขนมที่มีคนทำกัน 3 คน คือ ปุ๊ก อุ้ม แล้วก็น้องก้อยค่ะ 



เราเลือกที่จะใช้ เจ้าน้ำ  orange blossom's water (มันเป็น ดอกไม้นิ 5555), ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะทำ แครอทเค้กกันค่ะ เพราะเค้กแครอทสามารถ เข้ากันได้ดี กับพวก citrusนะคะ โดย สูตรที่นำมาใช้ เป็นสูตรที่ ก้อย ได้ปรับปรุงจนอร่อย กว่าสูตรเดิม ที่มาจากหนังสือ "Pret A Manger": Food on the Move (เป็น ร้านขาย แซนวิช และอาหารว่าง ที่เราจะพบเจอทั่วไปเลยค่ะ ใน UK). 
แต่ในส่วนของ ฟรอสติ้ง เราเลือกที่จะใช้สูตร จากนิตยสาร delicious magazine (Uk edition, August 2010),ที่เราได้ลองทำกันไปรอบนึง ตอนช่วงที่เรา อยู่อังกฤษค่ะ  เพราะเราเห็นตรงกันว่า มันอร่อยมากเลย ^^.

ปุ๊กว่า คราวนี้เป็นการทำขนมที่สนุกมากๆเลยค่ะ เพราะว่า ได้มีเวลา พูดคุย แล้วก็ช่วยกันถ่ายรูป (รูปวิธีทำจะมาจากกล้องของทั้ง 3 คนค่ะ รูปเลยจะต่างจาก รูปของปุ๊ก )
ปุ๊กเอง หลังจากทำขนมรอบนี้แล้ว ก็ยังคิดว่า อยากจะมีโอกาสได้ทำขนมกับเพื่อนๆอีกค่ะ แต่ก็คงไม่ได้ง่ายนักนะคะ เพราะว่า เราทั้ง 3 คน อยู่ไกลกัน จริงๆค่ะ TT.
แต่ปุ๊กก็หวังว่า เพื่อนๆที่ได้อ่านสูตรนี้ แล้วลองไปทำดู ก็น่าจะมีความสุขเช่นกันค่ะ แม้ว่า จะทำขนมอยู่ในห้องคนเดียว แต่ เมื่อเราได้แบ่งปัน ขนมอร่อยๆ กับเพื่อนๆ หรือ คนในครอบครัว ช่วงเวลานั้น ก็คงเป้น เวลาที่ สุดพิเศษเช่นกันค่ะ  ^^.

Adaptation from: "Pret A Manger": Food on the Move and delicious magazine (Uk edition, August 2010)


Flower Carrot cake
Make 13 (standard muffin tin)




2 ...................................... ไข่
180 g .............................. น้ำตาลทรายแดง
150 ml ............................ corn, sunflower หรือ vegetable oil
200 g .............................. แครอทขูด
50 g ................................. walnut และ/หรือ pecan , สับหยาบๆ
75 g ................................. ลูกเกด และ แครนเบอรี่
......................................... (แช่น้ำร้อน 20 นาที แล้วกรองนำออก)
50 g ................................ มะพร้าวอบแห้งป่น
1 tsp ................................ orange blossom water
1 Tbsp ............................. Cointrau ( หรือเหล้าส้มแบบอื่นๆ)
200 g .............................. แป้งอเนกประสงค์
1 tsp ................................ อบเชยป่น
1 tsp ............................... ผงฟู
¾ tsp ............................. เกลือ
........................................ Cointrau ( หรือเหล้าส้มแบบอื่นๆ)สำหรับพรมเค้ก
Frosting
350 g ............................. Cream cheese
85 ml ..............................whipping cream
65 g ................................ น้ำตาลไอซิ่ง
1 tbsp ............................ น้ำมะนาว (อาจจะใช้มากหรือน้อยกว่านี้ ตามชอบค่ะ)
........................................ เกลือเล็กน้อย
........................................ ผิวเลมอน จากเลมอน 1 ลูก



 เปิดเตาอบที่180 °C
วางถ้วยกระดาษลงในพิมพ์มัฟฟิน


ขูดแครอท แล้วผสมกับอบเชยไว้
ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ รวมกัน แล้วพักไว้

ผสม ถั่ว ลูกเกด แครนเบอรี่ และ มะพร้าวอบแห้งเข้าด้วยกัน






ผสม ส่วนผสมของถั่ว กับแครอท แล้วใส่  orange blossom water และ cointreau ลงไป พักไว้ 






ตีไข่ด้วยความเร็วสูง แล้วค่อยๆใส่น้ำตาลลงไป ตีจนฟูขาวข้น
ค่อยๆใส่น้ำมันลงไป ตีจนเข้ากัน 



เทส่วนของแป้งลงไป โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ตะล่อมให้เข้ากัน ใส่ ส่วนผสมของ แครอท และถั่ว ตะล่อมจนเข้ากันดี แล้วเทลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ 


นำเข้าอบ ประมาณ 25นาที หรือจน ด้านบนของเค้กไม่ยุบตัวลงเมื่อแตะเบาๆ 


ใช้ไม้ แทงให้ทั่ว แล้ว พรมด้วย เหล้าส้มที่เตรียมไว้ 





ตีครีมชีสจนนิ่ม ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป ตีให้เข้ากัน ตามด้วยวิปปิ้งครีม
ใส่เกลือ น้ำมะนาว ผิวมะนาว แล้วตะล่อมให้เข้ากัน
นำเข้าแช่เย็น ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนนำมาใช้  





Assemble 
 ปาดครีมชีสฟรอสติ้งลงไปบนคัพเค้ก แล้วตกแต่งให้สวยงามด้วยดอกไม้และเบอร์รี่ค่ะ




Chicken Farm Baker's Project # 24 : SCENT of FLOWERS

Saturday, July 10, 2010

Caramel Nut Chocolates: For anyone who's nut for Chocolate and Caramel!


ปุ๊กว่า คงไม่ได้มี แต่เฉพาะเด็กๆเท่านั้น หรอกนะคะ ที่จะชอบขนมแบบนี้  เพราะว่าอย่างปุ๊กเองก็ไม่เด็กแล้ว ยังชอบทานเลยค่ะ ^^ แต่ก็มีคำเตือนก่อนไว้เลยว่า ขนมแบบนี้ หวานๆๆๆๆๆๆมากเลยล่ะค่ะ 

อย่างงี้อาจจะมีคนถามว่า แหมถ้ามันหวานขนาดนั้น แล้วล่ะก็ ทำไมปุ๊กถึงชอบล่ะ อืม....จะว่าไปนะคะ มันก็คงจะมีบางครั้งในชีวิตเราที่เราอยากจะทานอะไรที่หวานสะใจ แล้วก็รู้สึกดีกับมัน ใช่ปะ อิอิ 
แล้วถ้าจะพูดไป ก็มีคนมากมายที่มีนิสัยในการ ทานอาหารที่ต่างกันไปนะคะ อย่างปุ๊กไม่ชอบของหวานจัด ในขณะที่พี่สาวปุ๊กนี่ พอเอาขนมชิ้นนี้ไปให้ชิม ก็ยกนิ้วให้แล้วบอกว่าอร่อยเลยล่ะค่ะ  ^^ ปุ๊กว่า หลายๆคนที่ได้ลองชิมก็คงจะถูกใจนะคะ เพราะว่าขนมหวานๆแบบนี้ ทำให้เราทานไป แล้วก็นึกถึงความสุขในตอนเด็กๆได้ดีทีเดียวนะคะ 555
 แต่สูตรนี้ ปุ๊กพยายามที่จะทำให้หวานน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการเพิ่มถั่วมากกว่าสูตรต้นฉบับค่ะ แต่ มันก็มีลิมิตนะคะ เพราะหากว่า เราใส่ถั่วมากไป ก็จะกลายเป็นว่า เราจะไม่สามารถ ปั้นใส้ของขนมได้เลยค่ะ  
ตรงส่วนของช็อกโกแลตด้านนอก ปุ๊กว่า ทำแบบสูตรนี้ ก็ง่ายมากเลยล่ะค่ะ เพราะเป็น การละลายช็อกโกแลต ผสมกับเนยขาว แล้วเอามาชุบขนม โดยไม่ต้องทำ เทมเพอริ่งช็อกโกแลตค่ะ แต่ก็นะ มันก็มีข้อเสียค่ะ คือ การที่ใช้วิธีนี้ จะทำให้ช็อกโกแลตไม่เซ็ตตัวในอุณหภูมิ ปรกติค่ะ ต้องแช่ตู้เย็นอย่างเดียว ซึ่งการแช่ตู้เย็น ทำให้ช็อกโกแลต ขาดความแวววาวไปค่ะ แต่ ก็นะ ไม่ได้ทำให้ความอร่อยน้อยลงนะคะ  (ปุ๊กทดลองไม่แช่เย็นดูนะคะ ผ่านไป 1 คืน ขนมแห้งลงแค่เล็กน้อย แต่เมื่อจับก็จะละลายง่ายอยู่ค่ะ)
ดังนั้นถ้าใครอยากทำให้ชีวิตยากขึ้น แต่ขนมสวยขึ้น 555 ก็สามารถใช้วิธีการ เทมเพอริ่งช็อกโกแลตได้นะคะ แต่สำหรับปุ๊ก การมีขนมอร่อยๆที่ทำก็ง่าย (ทานก็ง่าย อิอิ) ในบางเวลา ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขมากพอแล้วค่ะ  ^^

Adaptation from: THE AUSTRALIAN Women's Weekly, Issue: Christmas&Holiday entertaining, special 2009/2010


-Ready to serve-


Caramel Nut Chocolates
MAKES ABOUT 34


60g .............................................. เนย
110g ............................................ น้ำตาลทราย
1 tablespoon .............................. golden syrup
250g ........................................... นมข้นหวาน
½ teaspoon ............................... vanilla extract
100g ........................................... ถั่วลิสง อบ, สับหยาบ
25g ............................................. อัลมอนด์บด
100g ........................................... dark chocolate, สับ
10g ............................................. เนยขาว
50g ............................................. dark chocolate, ละลาย สำหรับตกแต่ง



1 ผสมเนย น้ำตาล น้ำเชื่อม ลงในหม้อ แล้วนำขึ้นตั้งไฟอ่อน จนน้ำตาลละลาย เทนมข้นหวานลงไป แล้วนำขึ้นตั้งไฟปานกลางจนเดือด ลดความร้อนลง แล้วต้มไปเรื่อยๆโดยคนตลอดเวลา ประมาณ 6 นาที หรือจนส่วนผสมเปลี่ยนเป็นสีคาราเมล 



นำลงจากเตา ใส่วานิลลา ถั่วลิลง และอัลมอนด์ ผสมให้เข้ากัน พักไว้ 10 นาที 



2 ปั้น เป็น ก้อนกลมประมาณ ชิ้นละ 1 ช้อนชา แล้วนำไปแช่เย็นจนอยู่ตัว 



3 ผสม ช็อกโกแลต และ เนยขาวเข้าด้วยกัน ในชาม แล้ว นำชามไปวางบนหม้อที่ต้มน้ำเดือดอ่อนๆไว้ จนละลายเข้ากันดี นำใส้ที่ปั้นไว้มาจุ่มลงในช็อกโกแลต ให้เคลือบทั่วช็อกโกแลต แล้วนำไปวางพักไว้ บนแผ่น อลูมิเนียมฟรอย หรือ กระดาษรองอบ นำเข้าแช่เย็นจนอยู่ตัว 


 4 ใช้ช็อกโกแลตละลาย ตกแต่งให้ทั่ว ตามต้องการ แล้วนำเข้าแช่เย็น โดยใส่กล่องที่ปิดสนิท 


Caramel Nut Chocolates: 
For anyone who's nut for Chocolate and Caramel!

Tuesday, July 6, 2010

Cookies and Cream Slices: My craziness for the Oreo cookie!

อิอิ ปุ๊กรู้นะ ว่ากำลังจะพูดว่า "โอรีโออีกแล้วเหรอ!"  ก็นะ ปุ๊กก็สารภาพไปแล้ว ว่า ปุ๊กอะ อดไม่ได้จริงๆนี่คะ ^^ ตราบใดที่ปุ๊กเองยังคงชอบทานโอรีโอ แล้วก็ต้องมี ประมาณ 3 อพ็คอยู่ในตู้เย็นเป็นประจำ 555 

แต่ก็นะ ใครจะห้ามใจได้ค่ะ ก็มีครีมขาวๆนุ่มๆ ที่มาพร้อมกับ คุกกี้ช็อกโกแลตเข้มข้น ความแตกต่างระหว่างความหวาน และความขม ทำให้เกิดคุกกี้ อร่อยๆ ที่ปุ๊กสุดจะโปรดค่ะ !
คราวนี้ คุกกี้ แอนน์ครีม ไม่เป็นชิ้นเล็กๆแล้วค่ะ แต่มาเป็นคำใหญ่เลยล่ะ 

สูตรนี้เป็นคำตอบให้กับ ทั้งปุ๊กและพี่สาวค่ะ เพราะในชิ้นเดียว จะได้ทานทั้งไวท์ช็อกโกแลตและครีมชีส ที่หวาน นุ่ม ที่มาพร้อมกับคุกกี้โอรีโอชิ้นใหญ่ค่ะ 
แต่ก็เหมือนเคยนะคะ ปุ๊กเอามาทำแค่ถาดเล็กๆค่ะ (ทอนลงมาจากสูตรค่ะ) เพราะว่า ทุกคนคงรู้เหมือนปุ๊กว่า ไม่ว่า เราจะชอบทานขนมมากแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การไม่ทานมากเกินไปค่ะ  ^^ ปุ๊กเองมีความเชื่ออยู่เสมอว่า เรายังคง สามารถจะทานอะไรก็ได้ที่เราพอใจ และทำให้เรามีความสุข ตราบเท่าที่เราไม่ทานมากไปค่ะ เพื่อว่า เราจะได้ มีความสุขกับสุขภาพที่ดี และการได้ทานอาหาร อร่อยๆ ไปอีกนานๆไงล่ะค่ะ. 
คราวนี้ ปุ๊กทดลองทำ ครัสแบบใหม่ค่ะ (พอดี น้องก้อยแนะนำว่าให้ลอง ^^) ซึ่งเป็นการทำโดยการตีเนยแทนที่จะละลายเนยค่ะ ผลที่ได้ก็ดีนะคะ คือ ตัวฐานจะไม่แน่นมากนัก แต่ก็จะมีข้อเสียคือ เพราะเขาไม่แน่นมาก เมื่อนำออกมาวางในอุณหภูมิห้องนานๆ ก็จะทำให้ไม่ค่อยอยู่ตัวค่ะ 
ดังนั้น หากใครอยากได้ฐานที่แน่นๆ ก็ใช้วิธีการละลายแล้วนำไปผสมกับครัมนะคะ ก็จะได้ฐานที่แน่นขึ้่นค่ะ ปุ๊กก๋หวังว่าทุกคนจะชอบขนมชิ้นนี้ มากเท่าที่ปุ๊กชอบนะคะ โดยเฉพาะ ใครก็ตามที่ชอบโอรีโอเหมือนปุ๊ก รับรองว่าต้องชอบแน่นอนค่ะ 




Cookies and cream slice
 Makes 9 Begin this recipe a day ahead. 



125g ................................ คุกกี้ โอรีโอ พร้อมใส้ 
75g ................................. เนยจืด
1 tsp ............................... เจลาตินผง
200g .............................. cream cheese 
150ml ............................ whipping cream 
½tsp .............................. vanilla extract 
55g .................................. น้ำตาลทราย
100g ............................... ไวท์ช็อกโกแลต ละลาย
......................................... ดาร์กช็อกโกแลต ละลาย สำหรับโรยหน้า



วางกระดาษรองอบไว้บน พิมพ์ขนาด 15cm x 15cm  




บดบิสกิต 85g ให้ละเอียด 
ตีเนยให้นิ่ม แล้วเทบิสกิตลงไป แล้วคนให้เข้ากัน แล้วเทลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ 
แช่เย็นไว้อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง



ข้างล่างนี้ อัพเดทวิธีทำนะคะ ใช้วิธีนี้ทำให้ทำได้ง่าย และเร็วขึ้นค่ะ 



นำวิปปิ้งครีมไปอุ่นในไมโครเวฟ (600W ) ประมาณ 1-1.30 นาที
แล้วเทลงในชามช็อกโกแลต


คนจนช็อกโกแลตละลาย


 ตีครีมชีสให้นิ่ม แล้วใส่น้ำตาล และวานิลลาลงไป, ตีให้เข้ากัน 


เทเจลาตินลงไปในน้ำ แล้วพักไว้ อย่างต่ำ 5 นาที


นำเข้าไมโครเวพที่ 600W นาน 10-20 วินาที, แล้วคนจนละลาย




เทช็อกโแลตละลาย และเจลาตินลงในชามครีมชีส แล้วตีให้เข้ากัน



****** ด้านล่างนี้เป็นแบบที่เคยทำนะคะ ใช้ได้ดีเหมือนกันค่ะ^^*****






โรยเจลาตินลงในน้ำ ½ถ้วย [30ml] ที่อยู่ในถ้วยที่ทนความร้อนได้ แล้วนำถ้วยลงไปวางในหม้อที่ต้มน้ำเดือดอ่อนๆอยู่ แล้วคนให้ละลาย 





ใส่ครีมชีส ครีม วานิลลา และน้ำตาล ลงในชาม แล้วตีจนเข้ากันดี เทเจลาตินลงไป แล้วตามด้วย ไวท์ช็อกโกแลตละลาย ตีให้เข้ากัน
*******






สับคุกกี้ที่เหลือ หยาบๆ แล้วเทลงในครีม คนให้เข้ากัน 





 เทส่วนผสมทั้งหมดลงในพิมพ์ แล้วนำเข้าแช่เย็น พักไว้ 1 คืน 
ราดด้านหน้าด้วย ช็อกโกแลตละลาย พักให้อยู่ตัว 15 นาที แล้วจึงตัดเสิร์ฟ 



Cookies and Cream Slices: My craziness for the Oreo cookie!

Sunday, July 4, 2010

Starbucks Coffee College, and I think I know something more than a cup of coffee!




-How do you like you coffee?-

ปุ๊กว่า หลายๆคนก็คงเป็นเหมือนปุ๊กนะคะ ที่พูดได้ว่าชอบทานกาแฟ แต่เราส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้ใส่ใจ หรือ สนใจอะไรมากนัก เพราะทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ มาถึงมือเราอย่างง่ายดายเหลือเกิน
แต่ถ้าใครจะถามออกมาตรงๆว่า "แล้วมันจำเป็นด้วยเหรอ ที่เราจะต้องรู้จักหรือศึกษาอะไรมันมากมายนัก" ปุ๊กก็คงตอบได้เลยค่ะ ว่า "ไม่เลย" เพียงแต่การได้ศึกษาและรู้จักมากขึ้น น่าจะทำให้เรา ได้รุ้สึกเคารพในที่มาของสิ่งต่างรอบๆตัวเรา และได้คิดถึงผู้คนมากมายที่ทำงานต่างๆ เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย อย่างที่พวกเราได้รับกันอยู่ทุกวันนี้ ^^

คราวนี้สิ่งที่ปุ๊กจะพูดถึงก็คือ เจ้ากาแฟถ้วยเล็กๆ ที่เราดื่มกันทุกวันนี่ล่ะค่ะ ซึ่งเมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ก็จะพบว่าทั้งสถานที่ที่ปลูก และคนที่ปลูก ก็สำคัญมากทีเดียวสำหรับการได้มาของกาแฟอร่อยๆที่หลายๆคนติดกันนี่ล่ะค่ะ
คราวนี้ ปุ๊กมีโอกาสได้ เข้าร่วม -Starbucks Coffee College- ในชื่อว่า “Sumatra Coffee Journey” event ที่จัดขึ้น ที่ร้านสตาร์บัคส์ สาขาทองหล่อ เมื่อวันที่วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เองล่ะค่ะ แบบว่างานนี้ เรียกว่า ปุ๊กนี่ เต็มใจรับคำเชิญอย่างแรงเลยค่ะ เพราะแหม ถ้าอ่าน บล็อกปุ๊กมาก็คงจะรู้กันอยู่แล้วนะคะ ว่าปุ๊กอะ ชอบ  Starbucks,อยู่แล้วเป็นทุนเดิม 
ซึ่งก็เป็นงานที่ ทาง Starbucks เชิญชาวบล็อกเกอร์ จำนวน 10 คน (รวมปุ๊กด้วย) มาร่วมกันเรียนรู้เรื่องราวของกาแฟด้วยกันค่ะ 

ปุ๊กเอง ต้องยอมรับว่า ได้เรียนรู้อะไรมากมายค่ะ เช่น การที่กาแฟมาจากถิ่นที่ต่างกัน ก็จะให้ทั้งรสชาติและกลิ่นที่ต่างกันออกไป เช่น กาแฟที่มาจาก Latin America จะมีความสมดุล สดชื่น มีชีวิตชีวา (อิอิ ฟังแล้วเหมือนเป็น โปรเรื่องกาแฟปะคะ จริงๆแล้วคือ ปุ๊กจำที่เขาสอนมาเล่าต่อให้ฟังกันค่ะ ^^), หรือถ้าเป็นกาแฟที่มาจาก แถบ Africa จะมีกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ และมีรสชาติคล้ายเบอรี่ และสุดท้าย คือ กาแฟที่มาจากทางเอเซีย ที่มีกลิ่นหอมคล้ายเครื่องเทศ และมีกลิ่นหอมของธรรมชาติ ซึ่งอันนี้ปุ๊กบอกได้เลยว่า ตอนที่เขาให้ลองดมกาแฟ ชอบกลิ่นของกาแฟที่มาจากเอเซียมากที่สุดเลยค่ะ คือ พอดมเข้าไป แล้วหลับตา จะให้อารมณ์ คล้ายๆกับเรารู้สึกสดชื่นหลังฝนตกนะคะ แต่ สำหรับกาแฟตัวนี้ พอดื่มเข้าไป อืม...รสชาตินี้ หนักอึ้งเลยค่ะ 

-The Aroma Lab Table-

อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการเรียนรู้เรื่องกาแฟ ก็คือ การทำ aroma lab ค่ะ โดยการที่เราจะได้ทดลองดมกลิ่นต่างๆ เช่นผลไม้ เครื่องเทศ ดิน เห็ด และอื่นๆ แล้วพยายามจินตนาการ ถึงกลิ่นของพวกนั้น ให้ออกมาเป็น อารมณ์ และจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ เพื่อที่ว่า เราจะได้ นำมาอธิบาย เมื่อถึงเวลาที่เราจะได้ชิมกาแฟกันค่ะ (คล้ายๆกับการบรรยายไวน์นะคะ) แต่ถ้า ให้ปุ๊กบอกตรงๆคือ ปุ๊กอะ จำไม่ค่อยได้หรอกค่ะ อืม...มันออกจะเยอะนะ และเราก็คงไม่สามารถทำได้ ภายในเวลาอันสั้นค่ะ   

-The coffee with cake, scone and cream-

ก็นะ ปุ๊กก็คงไม่สามารถกลายเป็น Coffee master ได้ภายในหนึ่งวันนะคะ 5555 แต่ก็รู้สึกว่า ได้ความรู้มากมาย จากทั้งคุณหนึ่ง (Coffee master ตัวจริง ^^) และคุณจุ๋ม ได้มาบรรยายให้พวกเราชาวบล็อกเกอร์ได้ฟัง และเรียนรู้นั้น ก็น่าสนใจไม่น้อยค่ะ เพราะการเดินทางจากเจ้าต้นกาแฟ จนกว่าจะมาถึงมือเรา เป็นกาแฟร้อน ที่ทำให้เราได้รู้สึกดี และอบอุ่นนั้น มันเป็นการเดินทางที่แสนไกล เกินกว่าที่ใครจะเคยคิดเชียวนะคะ (โดยเฉพาะคราวนี้เป็นการเดินทางจาก  Sumatra Lake Toba จนมาถึงมือเราค่ะ)

เรื่องราวที่น่าสนใจ ทั้งจากคนในท้องถิ่นที่ปลูกกาแฟ (ที่ผู้หญิงต้องทำงานหนักกว่า เพียงเพราะ เธอทำงานละเอียดอ่อนได้ดีกว่า -*-) หรือตัวของสถานที่ที่ใช้ปลูก ซึ่งเรียกว่า Lake Toba ซึ่ง เคยเป็น ภูเขาไฟ ที่ระเบิด และยุบตัวลง กลายเป็น ทะเลสาบขนาดยักษ์  หรือ เรื่องราวของการ ทำ โครงการ Shared Planet ของทาง Starbucks ที่เข้าไป ช่วย ชาวไร่กาแฟในการวางแผนการปลูก (อันนี้แปลกดีค่ะ แบบว่า การปลูกกาแฟมันต้องละเอียดขนาดว่า กาแฟแต่ล่ะต้น ต้องห่างกันเท่าไหร่ หรือ ห่่างจากถนนแค่ไหนด้วยนะ) เพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพ และ ยังขายได้ราคาดีขึ้นด้วยค่ะ และอย่างที่พวกเราก็รู้ๆกันอยู่ว่า แหล่งปลูกกาแฟนั้น หลายๆที่เป็นที่ที่ด้อยพัฒนา การทำงานของพวกเขานั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากมากมาย ปุ๊กก็เลยเชื่อค่ะว่า หากคนที่ดื่มกาแฟ ได้คิดถึงชาวไร่กาแฟเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ในอนาคตข้างหน้า ย่อมมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งสำหรับชาวไร่ที่ตั้งใจปลูก และผลิตกาแฟมาให้พวกเรา และพวกเราเอง ที่ต้องอยู่ร่วมกันบนโลกในเล็กๆใบนี้ค่ะ 

หลังจาก 2 ชั่วโมงของการ พูดคุยและชิมกาแฟหลายแก้ว สิ่งที่ปุ๊กรู้สึกมากที่สุดคือ ความรู้สึกขอบคุณค่ะ ขอบคุณทั้งคนปลูก คนรดน้ำคนเก็บ และคนที่ทำอีกหลายๆขั้นตอน กว่าที่จะมาเป็น กาแฟถ้วยเล็กๆในมือเรา ทำให้รู้สึกว่า ต่อไป เมื่อดื่มกาแฟแต่ละแก้วจะคิดถึงสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้น เพราะว่า บางทีอนาคตของทั้งหลายๆคน และพวกเราที่อยู่ร่วมกันบนโลกไปนี้ อาจจะขึ้นอยู่กับกาแฟแก้วต่อที่เรากำลังจะดื่มกันก็ได้นะคะ

-ของที่ระลึก เป็นที่ชงกาแฟ, กาแฟSumatra และแก้วกาแฟ 
เอาไว้มาชงกาแฟ หอมๆ แต่รสชาติหนักแน่นที่บ้านค่ะ -

ปล. สุดท้ายนี้ ขอบอกตามตรงว่า ปุ๊กอาจจะสอบไม่ผ่านในการเป็น Coffee master เพราะแยกอะไร ไม่ได้ออกเลย 555 แต่ปุ๊กยังเชื่อว่า เราไม่จำเป็น ต้องเป็น Coffee master เพียงเพื่อจะดื่มกาแฟให้อร่อยหรอกค่ะ แค่ขอใหเรามีความสุขกับมันก็พอแล้วล่ะค่ะ ^^   

Printfriendly