Tuesday, September 18, 2018

Travel with dailydelicious: Hong Kong, City of food, part 1


ตอนที่ Matsumiyasan ส่งข้อความมาถามว่า จะไปฮ่องกง เพื่อร่วมงานครบรอบ 30ปี ของร้านชา La melangee ของเธอไหม คำตอบของปุ๊กก็เดาได้ไม่ยากค่ะ ก็ไปแน่นอนไง เรื่องเที่ยวไม่มีพลาดอยู่แล้ว 





ปุ๊กไม่ได้ไปฮ่องกงมาเป็น สิบปีแล้วล่ะค่ะ ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ 

ครั้งนี้จองไฟล์เช้ามาก พวกเรา - รอบนี้มีเพื่อนร่วมทางอีก 3 คน คือ มาม้า, เจ้าหลานสาว แล้วก็คุณเพื่อน (น้องก้อย) เลยไปนอนค้างที่ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิกันค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาเดินทางในตอนเช้า  



ชอบเตียงของที่นี่มากกกกก ใหญ่นอนสบาย แล้วก็โรงแรมติดกับสนามบินเลย สะดวกดีค่ะ 



ใช้เวลาเดินจากโรงแรมไปสนามบิน โดยผ่านชั้นใต้ดิน (เชื่อมกับ Air port link) แค่8-10 นาทีเอง หรือจะนั่งรถรับส่งที่ทางโรงแรมมีบริการก็ได้นะคะ โดยรถจะออกทุก 10 นาทีค่ะ 


  
เราตื่นกันแต่เช้า แล้วก็เดินแบบสบายๆ ไปสนามบินกันค่ะ 



ด้วยความที่ยังเช้ามาก แล้วคิดอะไรไม่ออก 555 สุดท้ายพวกเราก็เลยไปนั่งทานอาหารเช้ากัน ที่ Dean&Deluca, เอาล่ะค่ะ อย่างน้อย ก็ได้กาแฟแก้วแรกของวันล่ะ




ก็ทานพวกแซนวิซนะคะ แฮมกะชีส อร่อยมาก แต่ในส่วนของขนมปังเฉยๆ ค่ะ 




เอาล่ะค่ะ ขึ้นเครื่องกันดีกว่า ครั้งนี้ นั่ง คาเธย์แปซิฟิกไปกันค่ะ มีเวลาให้เลือกเยอะดี 

ใช้เวลาแค่ 2.30 ชั่วโมง เราก็มาถึงฮ่องกงแล้ว  


ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแบบไม่ช้าอะไร ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ไปเที่ยวกันแล้ว 



เพราะสนามบิน ไกลจากตัวเมืองพอควรเลยนะคะ พวกเรา 4 คน เลยเลือกที่จะนั่งแท็กซี่กันค่ะ ถ้ามาคนเดียว จะลองเลือกเป็น รถไฟ หรือรถบัสก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายนะคะ 



แต่พอจำนวนคนแบบนี้ หารแล้วไม่แพงค่ะ รวมถึงแท็กซี่ที่นี่ สามารถใส่กระเป๋าเดินทางพวกเราได้หมด เลยถือว่าคุ้มนะ



ครั้งนี้ เลือกที่จะพัก แถว 
Tsim Sha Tsui บนฝั่งเกาลูน ซึ่งโรงแรมที่ไปพักเป็น โรงแรมเล็กๆ เปิดใหม่ ที่อยู่ใกล้กับ สถานีรถไฟ MRT มากๆค่ะ


The OTTO Hotel
8 Cameron Road, Tsim Sha Tsui, Hong Kong


ข้อเสียเดียวคือ ทางเข้าโรงแรมเล็กมาก ยังดีที่คนขับแท็กซี่ตาดี 555 เลยมองเห็นได้ทันก่อนจะเลย นอกนั้น ทุกอย่างดีหมดค่ะ พนักงานก็น่ารักมาก แต่ถ้าใครชอบห้องพักใหญ่ๆ ก็ไม่แนะนำนะคะ


 เอาล่ะค่ะ เก็บของเสร็จแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า



เดินจากโรงแรม ประมาณ 15-20 นาที ก็ถึง Harbour City จุดมุ่งหมายของเรา (แต่พวกเราเดินนานกว่านั้นนะคะ เพราะหลงทาง 555) 


Salted Caramel Mille Crepe $75

พวกเราตั้งใจจะไปกิน Lady M กันค่ะ จริงๆ ปุ๊กเคยไปกินที่ New York มาแล้วชอบมาก และหลายๆคนบอกว่า ที่ฮ่องกง ก็คุณภาพดี ก็เลยอยากลองกินค่ะ 


Royal Milk Tea Mousse

และก็สมใจ และสมหวัง, เพราะมันอร่อยมากค่ะ เครปชิ้นบางพร้อมกับครีมนุ่มๆ ครั้งนี้ ลองสั่งแบบคาราเมลมาทานด้วย อร่อยติดใจเลย เพราะความขมแบบกำลังดีของคาราเมล ทำให้ไม่เลี่ยนเลยค่ะ โอ้ยๆ หลงรัก Lady M อีกรอบแล้วล่ะค่ะ 


เอาล่ะ ได้ไขมันจากครีม และคาเฟอีนไปอีกนิดหน่อย พวกเรา เดินแบบสบายๆ กลับไปที่โรงแรม เพื่อจะพักผ่อน แล้วเตรียมตัวออกไปหา อะไรอร่อยๆ กินกันช่วงเย็นค่ะ




ครั้งนี้ เป็น การตั้งใจมากินจริงๆเลย และมิชชั่นของปุ๊กอย่างนึงก็คือ การได้ทานอาหารที่คนท้องถิ่นเองทาน เราเลยลองถามสตาฟของโรงแรม เขาแนะนำให้เราเดินไปที่  Temple Street Night Market ค่ะ
ก็เดินไปเรื่อย ประมาณ 15 นาที เราก็เดินมาถึง  Ning Po street.



เดินจากถนน Nathan เข้ามา จะเจอร้านดักนักท่องเที่ยวเยอะนะคะ แต่เรายังคงมุ่งมั่นจะเดินต่อ จนเข้ามาถึงตลาดผลไม้ เราก็เห็นร้านอาหาร ที่ไม่มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเลย เป็นร้านที่ชื่อว่า  "東記海鮮火鍋特式小炒" ลองใช้ อากู๋ ก็แปลออกมาได้ประมาณนี้ค่ะ  "Dong Kee Seafood Hot Pot Special Stir Fry"



ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ และไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ พวกเราทำได้อย่างเดียวคือ ภาษามือค่ะ ชี้ๆ ที่รูปแบบงง 555 แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้ ตัวคันจิจากภาษาญี่ปุ่นยังพอช้วยได้บ้าง



ที่ขำที่สุดคือ คุณเพื่อนอยากทาน Razor clam ก็พยายามจะสื่อสารกับเขา จนเขาพาเราไปเลือกของทะเลที่ร้านในตลาด เขาชี้อะไรเราก็ส่ายหน้า จนกระทั่งคนขาย (ของทะเล) โยนกาละมังลงน้ำดังปัง แล้วหันมายิ้ม 555 ครั้งนี้ พอชีอีกรอบ เราก็เลยโอเคค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ที่เขาชี้คืออะไร แต่คิดว่า เดินกลับโต๊ะดีกว่า 


สรุปว่า หอยที่เขาชี้คือ หอยเป๋าฮื้อสดค่ะ ตัวใหญ่ แล้วก็อร่อยมากๆ 



อีกจานที่ทานแล้วประทับใจ จนอยากกลับมาทำ ก็เป็น หมู 3 ชั้นตุ๋นค่ะ เนื้อนิ่ม มันหวาน ผักดองก็อร่อย แบบว่า กินไม่หยุดเลย
ได้อาหารเต็มท้อง คืนนี้ นอนหลับสบายแล้วค่ะ 555



เช้าวันรุ่งขึ้น เราเดินจากโรงแรมไปไม่ไกล ก็มาถึงร้านนี้ค่ะ 
Hung Lee Restaurant
2 Hau Fook Street, Tsim Sha Tsui, Hong Kong


เป็นร้านโจ๊ก ที่คนไทยที่ไปฮ่องกง ต้องมากิน 



Deep Fried Flour Snack
ถึงขนาดมีภาษาไทยติดไว้หน้าร้านเลยทีเดียว


เจอคนไทยเยอะเลยที่นี่ รสชาติถูกปากพวกเราแน่นอนค่ะ 



ปุ๊กว่าโจ๊กร้านนี้อร่อยดีนะคะ คือมันข้นแบบกำลังดี ตัวโจ๊กรสไม่จัด พวกหมูสับ กับเครื่องในก็ปรุงมาแบบกำลังดีค่ะ
พวกเราโชคดีตรงที่วันนี้ ผักสดมาก แล้วปาท่องโก๋ก็อร่อยด้วย (บอกว่าโชคดี เพราะบางคน เจอผักเหี่ยวกับปาท่องโก๋อบน้ำมันก็มีนะ) 


อิ่มอร่อยกันแล้ว เราก็เดินไปซื้อของกันนิดหน่อยค่ะ ก่อนที่จะเตรียมตัวไปหาอะไรทานเพิ่ม



สายๆ แบบนี้ ก็ถึงเวลากาแฟแล้วล่ะค่ะ เรามุ่งหน้าไป Star ferry Pier.


โดยร้านกาแฟที่เราจะมาดื่มคือ"% Arabica Hong Kong Star Ferry".


หลายๆคนที่ชอบดื่มกาแฟ น่าจะเคยได้ยินชื่อของ ร้านกาแฟชื่อดังของญี่ปุ่นร้านนี้ แต่ถ้าใครชอบกาแฟ แต่ยังไม่รู้จัก ก็แนะนำให้ลองค่ะ กาแฟอร่อยมาก ทั้งรสดี และหอมสุดๆ


ดื่มกาแฟ ยังไม่ทัน หมด เราต้องไปกินกันต่ออีกแล้ว อิอิ เราจองอาหารเที่ยงกันไว้ที่ร้าน Chef Stage de Eddy Chu


โดยเราสั่งเป็นเซ็ตอาหารกลางวัน  ราคาของอาหารไม่แพงเลยค่ะ ประมาณ $128-178 ขึ้นอยู่กับเมนคอร์สที่เลือกโดยจะมีสลัด, ซุป, จานหลัก, ของหวาน แล้วก็ชา หรือกาแฟ  


อาหารอร่อยถูกใจทุกคนค่ะ เพราะได้ทานทั้งอาหารทะเลสดๆ แล้วก็เสต็กอร่อยๆ 


Corn soup


Grilled racks of Lamb


King Prawn fish fillet, rib eye & Iberico Pork


Whole Fresh catch of the day


Grilled rib Eye steak

แต่วันที่ไป ขอหวาน ไม่อร่อยเลย ชิมเข้าไปนิดนึงก็ตัดสินใจว่าไม่ทานดีกว่า จะได้เก็บท้องไว้ทานของอร่อยอย่างอื่นแทนนะคะ
คราวนี้ เราข้ามไปฝั่ง เซ็นทรัล เพื่อจะไปจุดหมายหลักของการมาฮ่องกงครั้งนี้ค่ะ
ฮ่องกงไม่กว้างมากนะคะ แต่ถ้าลงผิดสถานี, หรือผิดออกทางออก ก็เดินไกลน่าดู 555 เป็นบทเรียนที่ได้รับมาในครั้งนี้ค่ะ


เอาล่ะค่ะ เรามาถึง Tai Kwun กันแล้ว ไปเข้างาน La melangee (Matsumiyasan's Tea shop) 30 year anniversary ที่ร้าน Lockcha Tea house กันดีกว่า


เป็นงานปาร์ตี้น้ำชาเล็กๆ ในร้านชาที่สวยและอบอุ่นค่ะ 

มีการสอนชงชาจีน แบบง่ายๆ แล้วก็มีติ่มซำจานเล็กๆ เสิร์ฟมาให้ทาน 


ได้รู้จักเพื่อนใหม่ด้วย ว่าไปแล้ว การเดินทางท่องเที่ยว เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้พบคนใหม่ๆ และได้เห็นอะไรมากมากมายนะคะ 
เสียดายตรงที่ ไม่มีโอกาสได้ดูอะไรที่  Tai Kwun เลย เพราะที่นี่ ถือว่าเป็น landmark แห่งใหม่ของฮ่องกง ไม่เป็นไร เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกัน 
กลับจากเซ็ลทรัลฮ่องกง ก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วล่ะค่ะ 
พวกเรา (ครั้งนี้ คุณเพื่อนแยกตัวไปช็อปก่อน) ก็เลยเดินแถวๆ โรงแรม เห็นร้านที่มีคนต่อแถวยาว เลยบอกมาม้า ว่า อยากลองร้านนี้ล่ะ เราก็เลยเดินไปเข้าแถวค่ะ แต่ตอนต่อแถวก็ไม่รู้นะ ว่าจะอร่อยไหม หรือเป็นอาหารอะไร 555 หาภาษาอังกฤษไม่เจอเช่นเคยค่ะ 


พอเข้าไปถึงจะรู้ว่า ร้านนี้คือ  Block 18 Doggie's Noodle (十八座狗仔粉), ที่เพิ่งทราบในกาลต่อมาว่า เป็นร้านที่ได้อยู่ใน Michelin Guide Hong Kong of 2017 ด้วย โดยสาขาที่ได้ลงจะอยู่ที่ Ning Po นะคะ



ก๋วยเตียวหมา (doggie noodles) คืออะไร เป็นคำถามที่อยากถามกันใช่ไหมคะ แน่นอนค่ะ ไม่ได้ใส่เนื้อหมาลงไปนะ Doggie's Noodle เป็นก๋วยเตี๋ยวที่ใช้เส้นสั้นๆ ที่ทำจากแป้งข้าว หนาตาเหมือนหางหมาอะค่ะ เสิร์ฟมาในน้ำซุปข้นๆ รสจัด 


เรารอคิวอยู่ 10 นาที ก็ได้โต๊ะ โดยหากจะนั่งทาน ต้องสั่งอาหารอย่างต่ำ $20 ต่อคน อืม, ไม่ยากค่ะ ก็เลยสั่งไปคำนวณไปให้พอดีๆ 


doggie noodles อร่อยดีนะคะ แต่ปุ๊กชอบ hot&spicy fish balls, เพราะมันจะเผ็ดเครื่องเทศหน่อยๆ อร่ยสดชื่นค่ะ 


จ่ายไปแบบชิวๆ  $65 ก็เดินกลับแบบอิ่มๆ ไปโรงแรมค่ะ 

ตอนกำลังจะอาบน้ำ คุณเพื่อนกลับมาพอดี ชวนเราไปกินต่อ ที่ร้าน 成城 Fruitier Seijo Fruitier ที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรม เป็น ร้านขนมที่เน้นขนมที่ทำจากผลไม้นะคะ ไปลองกันหน่อย



เพราะใช้พวกผลิตภัณต์นม จากญี่ปุ่น รสชาติพวกครีม, มูส อร่อยค่ะ 



แต่ที่ขัดใจนิดคือ ใช้ผลไม้ยี่ห้อเดียวกับที่เราหาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ต เลยไม่ค่อยว้าวเท่าไหร่ตรงนี้ 


ผ่านไป 2 วันแบบอิ่มอร่อย พวกเราเลยเดินเล่นแถวถนน Nathan กันนิดหน่อย เพื่อชดใช้สิ่งที่กินลงไป 555 เพราะพรุ่งนี้ เรายังต้องกินกันอีกเพียบค่ะ 

No comments:

Post a Comment

Printfriendly