ชีวิตคือการเดินทาง และสำหรับปุ๊กการเดินทางไปที่ต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตค่ะ
ปล. อย่าเพิ่งสับสนกันนะคะ ตอนนี้ปุ๊กอยู่เมืองไทยค่ะ แล้วก็ยังเขียนบล็อกที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่จบ 555 แต่คิดว่าอยากจะแทรกทริปที่ไปกัมพูชาก่อนกลับไปเขียนบล็อกญี่ปุ่นต่อ
อย่างที่รู้กันคือ เมื่อเดือนที่แล้ว ปุ๊กมีโอกาสได้ไปประเทศกัมพูชา ซึ่งถ้าถามปุ๊ก ก็ไม่ได้คิดถึงมาก่อนเลยค่ะ แต่ที่ได้ไปเพราะเป็นการไปร่วมงาน "Creative and Healthy Menu Development with U.S. beans" โดย The Culinary Institute of America (CIA) ที่เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา (โดยงานจัดขึ้นในวันที่ 22-23 พย.), 2018, ที่ Academy of Culinary Arts Cambodia (ACAC). โดดยเป็นงานที่จัดโดย U.S. Dry Beans Council.
สำหรับใครที่อยากจะอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับงานให้คลิก ที่นี่.
ปุ๊กไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับประเทศนี้เลยค่ะ และที่นึกออก ก็คือเคยอ่านหนังสือเรื่อง "สี่ปีนรกในเขมร" ที่เขียนโดย Yasuko Naito แบบว่าเป็นความทรงจำที่น่ากลัวไปหน่อยนะ
แต่ก็รู้ค่ะ ว่าประเทศเขาเปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว ก็เลยตื่นเต้นมากๆ ที่จะไปได้
แต่ก็รู้ค่ะ ว่าประเทศเขาเปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว ก็เลยตื่นเต้นมากๆ ที่จะไปได้
เที่ยวบินที่เราจะไปกันเป็นเที่ยวบินของการบินไทย ซึ่งออกเช้ามากนะคะ ปุ๊กก็เลยเซฟพลังงานโดยการไปนอนค้างที่ Novotel Suvarnabhumi ก่อนค่ะ
แล้วก็เดินไปสนามบิน แบบมีเวลาพักสบายๆ
เพราะเครื่องของการบินไทยไม่มีบินตอนเช้านะคะ เราเลยบิน โดยเครื่องของไทยสไมล์
พนมเปญอยู่ใกล้มากค่ะ เพราะใช้เวลาบนเครื่องประมาณ 50 นาที เราก็ไปถึงสนามบิน นานานชาติ พนมเปญแล้ว ถึงสนามบินจะเล็ก แต่ก็สะดวกสบายค่ะ โดยคนไทย ไม่จะเป็นต้องทำวีซ่า ดังนั้น หากกรอกข้อมูลเรียบร้อยก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
ปุ๊กเตรียมซิมการ์ดไปจากเมืองไทย (เป็นแบบโทร และใช้เน็ตได้) แต่สามารถไปซื้อซิมแบบที่ใช้ Data อย่างเดี่ยวที่สบานบินได้ ในราคา ประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐค่ะ
Note: เรื่องของสกุลเงินนะคะ แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ไปจะสะดวกมากค่ะ แลกแบ็งค์ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ไปด้วยก็จะดีค่ะ โดยเราสามารถใช้เงิน ดอลลาร์สหรัฐในการซื้อของได้เกือบทุกที่ แต่หากต้องทอนเงินทางร้านค้าจะทอนเราเป็น เงินเรียว ที่เป็นสกุลเงินของกัมพูชานะคะ
เพราะว่า ปุ๊กมาร่วมงานของทาง U.S. Dry Beans Council. ก็เลยไม่ต้องหารถเข้าไปที่โรงแรมเองค่ะ โดยเมื่อพบกับทางพนักงานขับรถแล้ว ก้พร้อมที่จะเข้าเมืองกันแล้วล่ะค่ะ
อย่างแรกที่พบคือ รถติด 555 ตอนที่ดูจาก ยังคิดว่า สนามบินไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ แต่กลับใช้เวลาเกือบ 40 นาที (ซึ่งคนขับบอกกว่าน้อยกว่าปรกติแล้วนะคะ เพราะช่องที่เราไปเป็น ช่วงลอยกระทงของเขาเหมือนกัน) แต่เวลา 40 นาที ก็ไม่ได้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ค่ะ เพราะได้เห็นเมืองของเขาอย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่า มันต่างจากที่คิดไว้
ถ้าเทียบกัน ตอนนี้ ยังถือว่าบางอย่างยังช้ากว่าไทยอยู่ แต่คิดว่า น่าจะตามขึ้นมาใกล้ไทย โดยใช้เวลาไม่นานนักค่ะ
เราเข้าพักกันที่ Raffles Hotel Le Royal ที่อยู่ใจกลางของเมืองพนมเปญเลย
โดยโรงแรมแห่งนี้ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1929 ในชื่อ 'Le Royal.' ถือว่า เป็น โรงแรมที่เก่าแก่มากแห่งนึงของพนมเปญ และโรงแรมปิดตัวลงเมื่อครั้งที่เขมรแดงชฯะสงครามกลางเมือง เมื่อปี 1975. (ขออนุญาติ ไม่พูดถึงประวัติศาสตร์ในโพสนี้นะคะ).
และหลังจากการปรับปรุงใหม่โดยRaffles Hotels and Resorts โรมแรมก็เปิดให้บริการอีกครั้ง ในปี 1997
ภายในของโรงแรมตกแต่งแบบ colonial ผสมผสานกับ Khmer และ Art Deco styles เพดานสูง และการตกแต่งแบบดั้งเดิม เป็นความงามแบบย้อนยุคนะคะ
ห้องน้ำก็ตกแต่งแบบโบราณ แต่สะดวกสบาย เพราะมีส่วนแยกระหว่างห้องอาบน้ำ และอ่างอาบน้ำ
ห้องที่ปุ๊กพักเป็นแบบ State Rooms มีระเบียงส่วนตัวที่มองออกไป เป็นวิวสระว่ายน้ำ ติดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็มีพัดลมอยู่ด้านบน เอาไว้เปิดใช้หากเราเปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศภายนอกค่ะ
หลังจากเก็บของเข้าห้องพักแล้ว พวกเราก็ออกไปหาอาหารกลางวันทานกันค่ะ
สำหรับการเดินทางในเมือง สามารถจะใช้บริการ ตุ๊กๆ ได้ หรือจะใช้ Grab (หรือ Uber) ก็สะดวกเช่นกันค่ะ
ร้านที่เราไปชื่อว่า "La Baab" อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ แต่อากาศร้อนสุดๆ ทำให้เราไม่สามารถจะเดินไปกันไหวค่ะ 555
โดยร้านอาจจะหายากหน่อย เพราะอยู่บนชั้น 2 ของตึกเก่า ซึ่งตอนแรกก็มองหาไม่เจอค่ะ
แต่ก็นะ เรามาถึงในที่สุดค่ะ
โดยอาหารของร้านนี้ จะมีความเป็นลูกผสมของอาหารในโซน south east Asia.
อาหารถือว่าโอเคเลยค่ะ แต่สำหรับคนไทยอย่างพวกเรา อาจจะรู้สึกว่ารสชาติไม่กลมกล่อม
เพราะเราจะชินกับอาหารที่มีรสชาติจัด หรือมีความหลากหลายของรสชาติอยู่ในจานเดียวกัน
แต่ต้องบอกว่า ปลาทอดอร่อยมาก
และพนักงานก็บริการดีคะ ถึงอาหารตอนแรกจะมาช้าไปหน่อย
แต่ขอให้คะแนนการตกแต่งและจัดจานค่ะ เพราะเก๋ไก๋มาก โดยเฉพาะปลาที่วางตั้งมา
เรียกว่าถ้าอยากลองอาหารกัมพูชา ในร้านที่บรรยากาศดีๆ ก็แนะนำนะคะ
อย่างที่ออกตัวไว้ก่อนว่า ครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือการมาเข้าร่วมงาน ก็เลยไม่มีโอกาสได้ชมเมืองนะคะ และเวลาที่เหลือจากการร่วมงานก็ไม่พ้นการกินค่ะ ^^
โดยหลังจากจบ มีตติ้งในวันแรก เราก็ไปทานอาหารเย็น กันที่ "Digby's Bar & Grill"
อย่าตกใจไปค่ะ เรายังไม่ได้ไปอเมริกา 555 ร้านนี้ บรรยากาศอเมริกันเต็มที่มาก ดังนั้นเราไม่ได้มาทานอาหารเขมรกันนะคะ
ด้วยความที่เจ้าของร้านคือคุณ David Chiv,ถึงจะเกิดที่นี่ แต่ไปโตใน San Francisco พอคิดจะกลับมา กัมพูชา ก็เลยมีไอเดียอยากจะยกบางส่วนของ San Francisco มาให้คนที่นี่ได้สัมผัสค่ะ
ดังนั้น อาหารเลยเป็นสไตล์อเมริกัน
ที่พิเศาสำหรับวันที่พวกเราไป คือ เป็นคืน Thanksgiving..
เราเลยได้ทาน Thanksgiving dinner กันค่ะ
หากมาพนมเปญแล้วอยากทานอาหารอเมริกัน (อย่าหัวเราะไปค่ะ บางครั้งเราก็อยากทานอาหารบางอย่างขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลใช่ไหม อิอิ)
ก็สามารถจะแวะมาทานกันได้ที่นี่ โดยร้านอยู่ที่ 34A Street 306, junction with Street 63, Phnom Penh ค่ะ
จานปิดท้ายของมื้อนี้ เป็นใส้กรอกที่ทางร้านทำเอง
พวกเราอิ่มมาก และเริ่มง่วงกันสุดๆ (ตื่นมาขึ้นเครื่องกันเช้ามากนะคะ)
ตอนนี้ไม่คิดถึงอย่างอื่นนอนจากการนอนแล้วล่ะค่ะ
เข้าห้องพักเพื่ออมแรงกันอย่างเงียบๆ เพราะพรุ่งนี้ ยังต้องตื่นเช้าเพื่อไปเข้าคลาส
เราตื่นเช้ากัน เพื่อจะไปทานอาหารเช้าที่ Café Monivong ซึ่งอยู่ในโรงแรมนะคะ
โดยเป็นบุฟเฟต์อาหารเช้า ที่มีอาหารให้เลือกหลากหลายมากค่ะ
พนักงานให้บริการดี แต่ที่ชอบมาก คือมีขนมปัง และพาสตรี้ให้เลือกทานเยอะดีค่ะ
แต่ถ้าบอกว่าชอบอะไรมากที่สุด คงเป็นบรรยากาศ
ถ้าไม่ต้องรีบไปเข้าคลาสก็คงจะได้ลองทานอีกหลายอย่าง เพราะหากได้นั่งสบายๆที่นี่ คงเป็นการพักผ่อนที่ดีเลยค่ะ
แต่วันนี้ ก็ผ่านไปอย่างมีความสุขนะคะ เพราะคลาสเรียนทำอาหารก็สนุก และเพื่อนๆ ที่ร่วมเรียนก็น่ารักทุกคนเลย พอจบวัน ก็เลยเป็นการละลายพฤติกรรม 555 สามารถคุยกันได้อย่างเต็มที่ค่ะ
เรากลับมาที่โรงแรมกันตอน 4 โมงเย็น พวกเรา (สาวๆ จากเมืองไทย) ก็แพลนว่าจะออกไปข้างนอกกันค่ะ
แต่ก่อนออกไป คุณโอ๋ (จาก ohhappybear.com) ที่เคยมาพักที่โรงแรม Raffles Hotel Le Royal นี้ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทัวร์ พาเราเดินชมความงาม และประวัติ ของโรงแรมกัน
โดยเริ่มต้นจากโถงกลางที่เปิดโล่ง บันไดเล็กๆ รวมไปถึงลวดลายที่เขียนเดียวมือบนเพดานของห้องอาหาร Restaurant Le Royal ซึ่งเป็นร้านอาหารแห่งเดียวที่เสิร์ฟอาหาร Royal Khmer cuisine, ด้วยสูตรที่มาจาก royal family เลย
สำหรับที่นี่ the Elephant Bar เป็นที่ ที่ไม่ควรพลาดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการแวะมาทานน้ำชายามบ่ายหรือจิบเครื่องดื่มยามค่ำคืน
ภายในของบาร์ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วิทเทจ, ภาพถ่ายโบราณ บรรยากาศช่วยให้พักผ่อนมาก
เครื่องดื่มที่น่าลองอย่างนึงคือ Femme Fatale cocktail เป็นค็อกเทลที่มีส่วนผสมคือ crème de fraise des bois, cognac และ champagne เป็นค็อกเทลสูตรพิเศษที่เสิร์ฟให้กับ Jackie Kennedy เมื่อครั้งที่เธอมาพักที่นี่ค่ะ
ทางโรงแรมยังมีตู้โชว์ที่เก็บแก้ว (ที่ทางโรงแรมอ้างว่า ^^) เป็นแก้วที่ Jackie Kennedy ใช้ ตั้งแต่ปี 1967 ดดยบนแก้วมีลิปติกสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณืส่วนตัวของเธอติดอยู่ด้วย โดยแก้วนี้ถูกพบในช่วงที่ทางโรงแรมทำการปรับปรุงค่ะ
แต่ตอนนี้ เราจะไปที่อื่นก่อนนะ
ถ้าให้บอกว่าสิ่งที่ไม่ชอบที่สุดในทริปนี้คือ ไม่ได้ถ่ายรูปเท่าที่ต้องการค่ะ เพราะมีการเตือนเรื่องการฉกกระเป๋า และกล้อง (มีเหตุกเกิดบ่อยนะคะ) ทำให้ปุ๊กต้องคอบเก็บกล้องไว้ในกระเป๋าตลอด จะเอาออกมาถ่ายทีก็ต้องระวัง เสียดายที่ไม่ได้ภาพบรรยากาศของเมืองเยอะกว่านี้ค่ะ
หวังว่าสถานะการณ์เรื่องนี้จะดีขึ้น เพราะอยากจะมีโอกาสมาเดินถ่ายรูปทั่วๆค่ะ
พวกเราเดินกันมาจากโรงแรม Raffles Hotel Le Royal เพื่อจะมาที่ Rosewood hotel Phnom Penh.
เป็นโรงแรม 5 ดาวแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 12 เดือน กุมภาพันธ์ในปี 2018.
ด้วยความสูง 188 เมตร สกายบาร์ของที่นี่เลยเป็นที่นิยมมากค่ะ
บาร์มีชื่อว่า SORA.
(เปิด 5 โมงเย็น: ไม่อนุญาติให้ใส่รองเท้าแตะ และห้ามการใช้กล้องตัวใหญ่ในการถ่ายภาพ)
โดยวิวที่นี่สวยมากค่ะ กว้าง และเห็นเมืองได้ทั่ว เป็นที่ ที่เหมาะในการมาสังสรรค์กับเพื่อน โดยเฉพาะในวันนี้ ปุ๊กมาพร้อมเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันในคลาส
แต่เพราะปุ๊กไม่สามารถใช้กล้องตัวใหญ่ได้ ถึงวิวจะสวยแค่ไหน ก็ได้แต่อาศัย iPhone ตัวเก่านะคะ 555
วิวจาก Sora sky bar.
บาร์ด้านใน
หลังจากชมวิว จิบค็อกเทล รวมถึงส่งเสียงหัวเราะทำลายบรรยากาศคนอื่น อิอิ
พวกเราก็ย้ายจากที่นี่ ไปทานอาหารกันแทนค่ะ
แต่ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เพราะร้านอยู่ตรงกันข้ามกับ Sora เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า Iza ที่อยู่ในโรงแรม Rosewood hotel เช่นกัน
เพราะยังคงหลงรัก สาเกอยู่นะคะ ก็เลยไม่ลังเลที่จะสั่งสาเกรสเบาๆ ของ Niigata ที่ชื่อ "Kubota Senju Honjozo". มาดื่ม โดยเลือกดื่มเป็น reishu (cool sake) ค่ะ
เหมือนเดิมค่ะ ห้ามใช้กล้องใหญ่อีก พนักงานปล่อยให้ถ่ายไป 2 รูป แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ มีเพื่อคุยสนุกกันขนาดนี้ ไม่ถ่ายรูป ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเอาเข้าจริง ก็มัวแต่ดื่ม กับหัวเราะกันล่ะค่ะ
2 ทุ่มแล้ว พวกเราเดินกลับโรงแรมกัน แต่ยังรู้สึกว่าอยากคุยต่อ
ก็เลยแวะเข้า The Elephant bar เพราะในช่วง 4 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่มเป็นช่วง happy hour ของทางบาร์นะคะ
ปุ๊กเลยมีโอกาสได้ลิ้มลอง Femme Fatale cocktail อันเลื่องชื่อ แต่เสียใจด้วยค่ะ ปุ๊กไม่ได้เป็น Jackie Kennedy (และไม่ทาลิปสติก) ดังนั้นคงไม่มีใครเก็บแก้วปุ๊กไปใส่ตู้โชว์ อิอิ
เป็นวันที่เต็มอื่มไปด้วยความรู้, ความสนุก และเสียงหัวเราะ ถึงจะยังไม่อยากจบ เราก็ต้องแยกย้ายกันแล้วค่ะ เพราะพรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสนามบินกัน
เราทานอาหารเช้าแบบเช้ามาก กันแบบรีบๆ ที่ Café Monivong. เช่นเดิม
ถึงอยากจะลองขนมปังหลายๆ แบบ แต่ความง่วง ทำให้ทานไม่ค่อยลงนะคะ
สุดท้ายเลยมาดื่มกาแฟอีกแก้วที่สนามบิน เรากำลังจะเอ่ยคำลากับ พนมเปญแล้วค่ะ
เป็นไปได้ก็อยากจะมาแบบมีเวลามากกว่านี้ แต่ครั้งนี้ ก็ถือเป็นการเปิดโลกแคบๆ ของปุ๊กออก เพราะได้พบว่ากัมพูชา ไม่ได้น่ากลัวแบบที่เคยคิด และผู้คนที่พบเจอก็น่ารักมาก
ดังนั้นหากมีโอกาส คงได้มาอีกค่ะ บาย, บาย พนมเปญ
Travel with dailydelicious: My New Journey Cambodia
No comments:
Post a Comment