สำหรับที่นี่แล้ว คงไม่ใช่เฉพาะ การทำฟาร์ม หรือการเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่มันคือ การทำเพื่อสังคม และคนในชุมชน นี่คือสิ่งที่ปุ๊กได้พบมา จากการที่มีโอกาสเข้าไปใน สิงห์พาร์ค ที่เชียงรายค่ะ
Social enterprise สำหรับปุ๊กถือว่าเป็นคำที่ใหม่มากนะคะ แต่เมื่อได้เข้าใจความหมายของคำนี้ ก็รู้สึกดีตรงที่ว่า นี่ล่ะค่ะ คือสิ่งที่บริษัทใหญ่ จะสามารถทำได้ เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น
และที่นี่ คือตัวอย่างของ Social Enterpirse ในประเทศไทย ที่ทำได้ดีมากๆค่ะ
และที่นี่ คือตัวอย่างของ Social Enterpirse ในประเทศไทย ที่ทำได้ดีมากๆค่ะ
แวะทานอาหารก่อนเข้าไปชมไร่ค่ะ |
ปุ๊กไปเชียงรายมาเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา โดยได้มีโอกาส เข้าไปที่ สิงห์พาร์ค เป็นทริปที่ดีจริงๆค่ะ เพราะ ได้เข้าไป ในส่วนที่นักท่องเที่ยวไม่มีโอกาสสัมผัส ซึ่งสำหรับปุ๊กแล้ว นี่คือหัวใจของที่นี่เลยด้วยซ้ำ
สิงห์พาร์ค ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงรายนะคะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่กว่า 8,000 ไร่ ด้วยการค้นคว้าและการทำแปลงทดลอง ที่นี่สามารถปลูกพืชผักผลไม้ ได้หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งพืชท้องถิ่น พืชเมืองหนาว และชาค่ะ ในสายตาของนักท่องเที่ยว ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำมากมายไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยานรอบไร่ , โหนสลิง, ชมทิวทัศน์ที่สวยงามของสวนผักผลไม้ และไร่ชา, ทานอาหารอร่อยๆ และ สนุกกับกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในพาร์ค แต่ปุ๊กอยากจะบอกว่า สิ่งที่สำคัญกว่าของที่นี่ อยู่ในส่วนที่หลายๆคนไม่ได้เห็นค่ะ
เพราะเบื้องหลังของที่นี่ คือคนทำงานจำนวนมาก ที่ทำให้ สิงห์พาร์ค เชียงราย แตกต่างจาก แหล่งท่องเที่ยวอื่น
เพราะคำว่า “Social enterprise” -หรือ “กิจการเพื่อสังคม” มีหมายความถึงการที่ เมื่อทางบริษัท หรือองค์กรได้กำไร สังคมก็ได้กำไรด้วย อย่าเข้าใจผิดนะคะ บริษัทที่เป็น “Social enterprise” อย่าง สิงห์พาร์ค เชียงราย ต้องมีความสามารถในการเลี้ยงตัวเองได้ แต่เมื่อได้กำไรกลับมา กำไรนั้นจะถูกนำกลับมาพัฒนาตัวองค์กร และสังคมค่ะ ซึ่งสิ่งนี้ ทำให้เกิดการพัฒนา ที่เดินไปด้วยกัน ของทั้งองค์กรทางธุรกิจ และชุมชน
ย้อนกลับไปมอง เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เชียงราย ยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากนัก และชาวบ้านในบริเวณนี้ ก็ไม่มีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งเมื่อทางสิงห์ เข้ามาพัฒนาที่นี่อย่างจริงจัง ทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน รวมไปถึงการพัฒนาในเรื่องของความรู้ด้านเกษตรกรรม เพื่อถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรในชุมชนด้วยค่ะ มีคนทำงานจำนวนเยอะมากนะคะ ภายใน สิงห์พาร์ค (ประมาณ 1,200 คน) แต่ที่ทำให้รู้สึกดีก็ตรงที่ว่า คนงานกว่า 90% นั้น เป็นคนท้องที่ค่ะ ซึ่งเขาเหล่านั้น มีความภูมิใจในงานที่ทำ และมีความสุขกับสวัสดิการ และความมั่นคงทางด้านรายได้ ที่คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากไม่มีที่นี่
จุดที่ปุ๊กได้เข้าไปชม แล้วรู้สึกประทับใจมาก คือในส่วนของโรงเลี้ยงเห็ดนะคะ คุณลุงและคุณป้า ที่เป็นคนคอยดูแลการเพาะเลี้ยงเห็ด ได้ทำให้เราเข้าใจถึงการใส่ใจ ทั้งในเรื่องของคุณภาพในการทำงาน และในขณะที่คุณลุงเล่าเรื่องของการเพาะเห็ดหอม เราได้รู้สึกถึงความรัก และภูมิใจในสิ่งที่ทำ ที่สามารถสื่อออกได้ได้จาก เห็ดที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จนออกมามีความสมบูรณ์ และมีรสชาติอร่อยมากด้วย
สิ่งที่ทราบเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ ทางไร่บุญรอดฟาร์ม (ที่อยู่ในสิงห์พาร์ค) ไม่มีนโยบายที่จะแข่งขันทางธุรกิจกับชาวบ้าน เพราะพืชผัก หลายชนิดที่ปลูกภายในไร่ เป็นพืชที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ โดยชาวบ้านท้องถิ่นไม่มีการเพาะปลูกอยู่แล้ว และยังมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ และต้นอ่อน จากต่างประเทศ เพื่อนำเข้ามาค้นคว้า และทดลองเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่สามารถเพาะปลูกในเมืองไทย
นอกจากโรงเห็ดแล้ว ปุ๊กยังได้เข้าไปชมในหลายส่วนนะคะ อย่างโรงเพาะดอกไม้ ซึ่งพี่ๆ ที่ทำงานอยู่ยิ้มแย้มแจ่มใสมากๆ
ปุ๊กว่า เขาคงทำงานด้วยความภูมิใจ ที่ดอกไม้สวยๆ ที่เขาดูแล ได้รับความสนใจจากหลายๆคน
Very sweet Cherry tomato: Fresh from farm |
ได้เข้าไปชมแปลงเมลอน เป็นเมลอน ที่นำต้นอ่อนเข้ามาจากญี่ปุ่น ที่ต้องปลูกในโรงเรือนปิด เพื่อควบคุมแมลง ที่ฟังแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงมีราคาสูง เพราะ เขาจะปล่อยให้มีเพียง 1 ลูก ต่อหนึ่งต้นเท่านั้นค่ะ
แล้วยังมีแปลงผลไม้เมืองหนาว ประเภทเบอรี่ ที่ทางไร่ได้มีการทดลอง และค้นคว้า จนมีผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ และเริ่มมากพอที่จะกระจายออกไปให้พวกเราได้ซื้อหากันแล้วล่ะค่ะ
สำหรับพวกเรา คนทำอาหารและขนม คงไม่มีอะไรที่จะดึงดูดเรามากกว่า ผักผลไม้ สดๆ รสชาติดี แบบปลอดสารพิษ ที่เราจะนำมาทำเป็นอาหารให้คนที่เรารักที่บ้านทานกันหรอกค่ะ ครั้งนี้ปุ๊กเองก็ได้บลูเบอรี่สดๆ รสชาติดีมาเลยอดไม่ได้นะคะ ที่จะนำมันมาแปลงร่างเป็นขนมอร่อยๆ ที่จะช่วยให้ปุ๊กเก็บความประทับใจที่ได้รับมาได้อีกนานๆค่ะ
Blueberry New York cheesecake with Fresh blueberry sauce
Make 18 cm cake
Base
145g .............................. คุกกี้ไดเจสทีฟ (Digestive biscuits)
55g ................................ เนยละลาย
Filling
500g ............................... ครีมชีส (นิ่ม)
120g ............................... น้ำตาลทราย
1/4tsp ............................. ผิวเลมอน
1tsp ................................ Vanilla extract
1/8tsp ............................. เกลือ
1 ..................................... ไข่
2 ..................................... ไข่แดง
120g ............................... วิปปิ้งครีม
15g ................................. แป้งเค้ก
50g ................................. บลูเบอรี่สด
Frosting
190g ................................ วิปปิ้งครีม
20g .................................. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
2tsp ................................. น้ำตาลไอซิ่ง
สำหรับเสิร์ฟ
......................................... ซ้อสบลูเบอรี่สด (สูตรอยู่ด้านล่างค่ะ)
เปิดเตาอบ ไว้ที่ 190C
วางกระดาษรองอบลงในพิมพ์ที่ถอดฐานได้ ขนาด 18cm
บดบิสกิต ด้วยไม้รีดแป้ง แล้วนำมาผสมกับเนยละลาย
เทลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้
กดให้เรียบ
นำเข้าอบ 12-15 นาที หรือจนเป็นสีน้ำตาลสวย
ลดอุณหภูมิเตาลงเป็น 150C.
ตีครีมชีสจนเนียน (จะอุ่นครีมชีสโดยนำเข้าไมโครเวฟ ให้ความร้อนที่กำลังไฟต่ำ เป็นเป็นเวลา 1-2 นาที หรือ ใส่ชาม แล้ววางบนชามน้ำร้อนก็ได้นะคะ จะทำให้นิ่ม และเนียนขึ้นเวลาตีค่ะ)
ใส่น้ำตาลทราย แล้ว ตีให้เข้ากัน
ใส่วานิลลาเอ็กแทร็ก, ผิวเลมอน และเกลือลงไป
ตีให้เข้ากัน
ใส่ไข่ และไข่แดงลงไป ตีให้เข้ากัน
เทวิปปิ้งครีมลงไป แล้วตีให้เข้ากัน
ใส่แป้งลงไป แล้วตีให้เข้ากัน
ส่วนผสมจะออกมาเนียนนะคะ
ปิดก้นพิมพ์ ด้วย อลูมิเนียมฟรอย แล้ววางลงในถาดอบใบใหญ่ (วางผ้าเช็ดจานไว้ในถาดด้วยนะคะ ) วางบลูเบอรี่ลงไป
เทส่วนของครีมชีสลงไป แล้ว เทน้ำเดือดลงไป ให้สูงเกิน /12 ของพิมพ์
นำเข้าอบ 60 นาที
นำออกจากถาดใหญ่ แล้วใช้มีดบางๆ กรีดรอบๆเค้ก (เพื่อให้เค้กเย็นตัวลงแบบเสมอกันทั้งชิ้น)
เมื่อเย็นลง นำเข้าแช่เย็น ข้ามคืน
ตีวิปปิ้งครีมกับโยเกิร์ตจนตั้งยอดอ่อน
ทาครีมลงให้ทั่วด้านบน และด้านล่างของเค้ก
นำเข้าแช่เย็น จนพร้อมเสิร์ฟ
Fresh Blueberry sauce
200g ............................ บลูเบอรี่สด
40g .............................. น้ำตาลทราย
1tbsp ........................... น้ำเลมอน
1tsp ............................. แป้งข้าวโพด (Cornstarch)
1 1/2tbsp ..................... น้ำ
ใส่บลูเบอรี่, น้ำตาล และน้ำเลมอนลงในหม้อ
นำไปตั้งไฟอ่อน จนเริ่มมีน้ำออกมา (จะมีเสียงซ่าๆ หน่อยนะคะ)
ผสม แป้งข้าวโพด กับน้ำเข้าด้วยกัน
เทลงในหม้อ
ต้มจนเดือด และน้ำเริ่มเหนียว
นำลงจากเตา และพักให้เย็น ก่อนใช้
Blueberry New York cheesecake
with Fresh blueberry sauce
อร่อยมากเลยค่ะ ขอบคุณค่า
ReplyDelete