Thursday, February 9, 2017

ไปเที่ยวกับเดลี่: กินๆ แบบไม่หยุดในเกียวโต (京都)


เมื่อเพื่อนรักโทรศัพท์มา พร้อมกับบอกว่า "ไปญี่ปุ่นกัน", คำตอบเดียวที่ปุ๊กจะตอบได้ คงไม่พ้นคำว่า "ไปๆ" เอาเข้าจริง ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะไปตลอดล่ะค่ะ ประเทศนี้


ไปประเทศญี่ปุ่นรอบนี้ เป็นครั้งที่ 3 ของปุ๊กแล้วค่ะ ปุ๊กว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจมากๆ นะคะ ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย รอบนี้ เราไปกันตอนปลายเดือน มกราคม ซึ่งเป็นช่วงหน้าหนาวนะคะ ครั้งนี้ ตั้งใจว่าจะไป เกียวโต (อีกแล้ว, ชอบเมืองนี้มากๆค่ะ) และโอซาก้าค่ะ 



หลังจากนั่งเครื่องไป 7 ชั่วโมง พวกเรา 3 ชีวิต (ปุ๊ก, เพื่อนก้อย แล้วก็เจ้กุ้ง พี่สาวก้อย) ก็มาถึงสนามบินคันไซ ตอนประมาณ บ่าย 3 โมงครึ่ง ตอนที่ไปถึงแถวของด่านตรวจคนเข้าเมืองไม่ยาวนัก เราเลยใช้เวลากันไม่มากในการรอค่ะ 
อย่างว่านะคะ หากเรากรอกเอกสารเรียบร้อย ก็ผ่านไปง่ายๆค่ะ ^^.



จากสนามบินคันไซ (Kansai Airport) ไปเกียวโต เรานั่งรถบัส (air port limousine bus) ไปกันค่ะ ซึ่งสะดวกมากๆ นะคะ สามารถหาซื้อตั๋วได้จากเครื่องขายตั๋วในสนามบินได้เลย (ราคาตั๋วอยู่ที่ 2,550 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 1,280เยน สำหรับเด็กค่ะ -เรทในเดือนมกราคม 2017). 
อากาศช่วงนี้หนาวมากค่ะ เราเลยต้องริ้อเสื้อโค้ท และหมวกออกมาใส่กันก่อนที่จะเดินออกไปรอรถบัส ที่ด้านนอกของสนามบิน 



เมื่อขึ้นรถบัสแล้วก็สบายแล้วค่ะ นั่งชิวๆ ไปได้ แต่อย่างเพิ่งหลับ หรือมัว แต่เล่นมือถือนะคะ นอกหน้าต่าง ยังมีวิวสวยๆ ให้เราได้ดูมากมาย ปุ๊กว่า หากเรามอง เราจะเห็นความงามอยู่ในทุกๆ ที่ค่ะ สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ ทำให้เรามีความสุขมากๆ ได้ด้วยล่ะ  

เราเข้าพักที่โรงแรม นิวมิยาโกะ ( New Miyako Hotel -新・都ホテル | 京都)  ตัวโรงแรมตั้งอยู่ในทำเลดีมากนะคะ ตรงข้ามกับสถานีเกียวโต ซึ่งช่วยให้สะดวกในการเดินทางมากๆ และยังใกล้กับร้านสะดวกซื้ออีกด้วยล่ะ
ทำธุระเสร็จก็ประมาณเกือบ 2 ทุ่มแล้ว พวกเรากำลังหิวเลยค่ะ แต่เรามีแผนกันไว้แล้ว อิอิ มื้อแรกในเกียวโตของพวกเรารอบนี้ คือ ราเม็งค่ะ (ramen -ラメン).


เดินจาก โรงแรม ประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่หมายค่ะ  ร้านราเม็งสไตล์จีน ชิมบุคุไซกัน, 新福菜館 本店/しんぷくさいかん (Shinpuku) แถวยังไม่ยาว เรามาต่อแถวกันเลยดีกว่า (อากาศหนาวมากนะคะ ยืนยัน 555) ระหว่างรอก็เลือกกันค่ะ ว่าจะทานอะไรกันดี  



พอเขาเรียกเราเข้าไปในร้าน ก็ดีใจนะคะ นึกว่าจะได้กินแล้ว แต่ยังไม่ใช่ค่ะ เราต้องเข้าไปรอต่อแถวในร้าน แล้วส่งสายตาอันหิวโหยไปยังคนที่นั่งทานอยู่ (ให้รีบๆกินซะ เราจะได้กินบ้าง) ร้านมีขนาดไม่ใหญ่นัก น่าจะประมาณ 30 ที่นั่ง ทุกคนที่ทานอยู่ก็รีบทานกันนะคะ ในที่สุดเวลาของพวกเราก็มาถึงค่ะเราสั่งอาหาร แล้วก็เดินไปที่โต๊ะ



ปุ๊กพยายามที่จะถ่ายรูปให้ออกมาดีนะคะ แต่เนื่องจากสายตาของคนที่ต่อแถวอยู่ในร้าน (เมื่อกี้เราก็ทำ 555) เลยทำได้แค่ถ่ายอย่างล่ะ 1 รูปค่ะ 
อาหารที่พวกเราสั่งในขณะหิวจัด เริ่มต้นด้วยข้าวผัด ( Yakimeshi - 焼き飯 -500 เยน) เป็นข้าวผัดซ้อสถั่วเหลือง กับไข่, ต้นหอม และหมูค่ะ ถ้าใครชอบทานข้าวผัดแบบจีนๆ ที่มีกลิ่นกระทะไหม้ๆ อันนี้ใช่เลยล่ะค่ะ ข้าวเสิร์ฟมาจานใหญ่มาก พร้อมกับน้ำซุป (ตอนแรกนึกว่า เป็นน้ำซุปเดียวกับราเม็งนะคะ แต่ไม่เหมือนค่ะ) อร่อยดี  



 เพราะความหิว ทำให้หน้ามืดนะคะ เราเลยสั่ง ราเม็งขนาดใหญ่พิเศษ (Tokudai - 特大新福そば-900 เยน), เป็นราเม็งแบบน้ำซุปซ้อสถั่วเหลืองที่มาพร้อมไข่ดิบ, ถั่วงอก, ต้นหอม และหมูอบ แบบขนาดใหญ่พิเศษ (ยังคงเน้นอยู่นะ 555 เพราะพวกเราเป็นผู้หญิง 3 คนที่ไซส์ปรกตินะคะ) น้ำซุปเข้มข้นมาก รสชาติของซ้อสถั่วเหลืองชัดเจน แต่ไม่เค็ม เรียกว่าซดน้ำซุปได้ แบบไม่รู้สึกผิดค่ะ หมูก็อร่อยมาก นิ่ม แล้วก็ไม่แห้งเลย  ^^.



อีกชามที่มาตามกันคือ ทาเคะอิริ ( Take-iri -竹入り-800 เยน) ซึ่งเป็นน้ำซุปแบบเดียวกัน พร้อมหมูอบ และต้นหอม แต่ที่ต่างไปคือ ชามนี้ เป็นขนาดปรกติ ที่ใส่หน่อไม้ด้วยค่ะ 
พนักงานดูหน้าโหดนิดๆ แต่ใจดีมากค่ะ เพราะเอาชามแบ่งมาให้เรา 3 คน โดยไม่ต้องขอเลย และยังกดน้ำมาให้ด้วย ขอบคุณมากนะคะ ( ありがとうございました。) พวกเราอิ่มอร่อยกันเต็มที่ ทานหมดเกลี้ยงทั้งราเม็ง และข้าวผัด พร้อมที่จะออกไปเดินเล่นยามดึก (ที่หนาวมาก) กันแล้วล่ะค่ะ



เดินออกจากร้านราเม็งเพื่อกลับโรงแรม เราเดินผ่าน เกียวโตทาวเวอร์ ( Kyoto tower -京都タワー), สารภาพว่า ไม่เคยใส่ใจมันเลยตอนกลางวัน 555 แต่พอเดินผ่านตอนกลางคือ อืม เขาให้แสงได้สวยน่ารักมากนะคะ อดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์เก็บภาพไว้ค่ะ 



สถานีเกียวโต Kyoto station (京都駅เป็นสถานีที่พลุกพล่านไม่น้อยค่ะ และมีร้านเปิดจนถึงดีกอยู่หลายร้าน ดังนั้น แทนที่เราจะเดินตากลมหนาว เราเลยเปลี่ยนใจเดินลงมาในสถานีแทน  



ร้านขนมที่ปิดดึกๆ ก็มีนะคะ แต่หลังจากราเม็งชามโต + ข้าวอีก ทานอะไรลงไปไม่ไหวแล้วค่ะ เลยได้แต่  window eating, อิอิ โดยเดินผ่านร้านขนม แล้วจินตนาการแทน ว่ารสชาติน่าจะเป็นยังไง 



วันรุ่งขึ้น เรามีแผนกันไว้ว่าจะไปกินกาแฟ ที่ร้านแถวๆ กิอง (Gion -祇園), แต่ด้วยความเหนื่อยจากการกิน, เอ้ย การเดินทาง ทำให้พวกเราตื่นสายกัน แต่ก็นะ เราไปเที่ยว ไม่เครียดค่ะ ไม่เครียด ตื่นเมื่อไหร่ก็ไปเที่ยวเมื่อนั้นก็แล้วกัน



สำหรับการเดินทางในเกียวโต ปุ๊กว่า แท็กซี่ เป็นทางเลือกที่ดีมากๆนะคะ และก็ไม่แพงมาก (โดยเฉพาะหากเรามีคนไปด้วย เพื่อจะได้แชร์ ค่าเดินทางได้) รถไฟ กับรถบัส ดีค่ะ แต่ส่วนใหญ่ เมื่อเราขึ้นรถบัส หรือรถไฟ เราจะต้องใช้เวลาอีกในการเดินไปถึงที่หมาย ดังนั้น หากจะประหยัดเวลา การเดินทางด้วยแท็กซี่ จะโอเคมากๆ  ครั้งนี้ไปเจอ  sightseeing Taxi ด้วยซึ่งจะจอดอยู่ บริเวณที่จอดรถแท็กซี่ของ สถานีเกียวโต Kyoto station (京都駅) โดยค่าใช้จ่ายจะเท่ากับรถแท็กซี่ปรกติ แต่ที่ดีมากๆคือ เป็นรถแท็กซี่คันใหญ่ และคนขับที่พร้อมจะทนนักท่องเที่ยวอย่างเรา 555 เขาจะมี App ในโทรศัพท์ เพื่อแปลคำพูดเป็นภาษาไทยด้วยนะคะ ช่วยให้การสือสารง่ายขึ้นมาก รอบนี้ ใช้แท็กซี่เยอะจริงๆค่ะ  


เราเรียกแท็กซี่จากสถานี ไปยังกิองค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณ 1500 เยน แต่ก็ประหยัดเวลาเดินไปได้เกือบ 30 นาที เป้าหมายของพวกเราคือ ร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดังค่ะ ร้าน Ukeya u (う桶や う)  . 



แต่แนะนำว่าควรจะจองก่อนนะคะ ถ้าอยากจะมาทานตอนร้านเปิด พวกเราลืมจองมาก่อน ก็เลยรีบมา โดยหวังว่าจะได้คิวค่ะ 



พวกเรามาก่อนร้านเปิด เลยเป็นคิวแรกเลย แถวยาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงเวลาร้านเปิด  ^^.



 ระหว่างรอไปก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยนะคะ แต่ไม่สามารถเดินไปไหนไกลค่ะ 



เมื่อร้านเปิดประตูออกมา พร้อมกับการตะโกนถามของพนักงานว่า ใครจองโต๊ะไว้บ้าง เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า ไม่มีที่สำหรับเราค่ะ -*-
แต่เพราะความอยากกิน ก็เลยถามพนักงานว่า หากเราต้องการจอง จะมีที่ให้เราไหม เธอเลยบอกว่า ถ้าเป็นอีก 2 ชั่วโมงหลังจากนี้ จะมีที่ว่าง เราเลยจองที่ไว้ตอนบ่ายโมงครึ่งค่ะ ระหว่างนั้น ต้องไปร่อนเร่ก่อน

ปุ๊กอยากไป Ajiki roji (あじき路地) ที่ใกล้ๆ กับกิอง เพราะมีร้านขนมปังที่อยากไปลอง ที่ชื่อว่า Nichiyoubi no panyasan (Sunday bread shop) 日曜日のパン屋さん  ก็เลยเดินไป เพื่อจะพบว่า ร้านปิดเพื่อย้ายร้าน แบบว่าอารมณ์นั้น พูดไม่ออกค่ะ คิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี เพราะยังไม่มีกาแฟตกถึงท้องเลย  สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ต้องเดินหาค่ะ
  

แต่เดินมาไม่ไกลนัก ก็เจอเข้ากับคาเฟ่ น่ารักๆ ร้าน SAGAN (サガン) ร้านนี้บรรยากาศดีมากนะคะ สงบๆ ดีสุดๆ เมื่อพวกเราเหนื่อยจากการเดิน ในที่สุดปุ๊กก็ได้กินกาแฟแล้วค่ะ (เย้) 
กาแฟ รสชาติทานง่ายๆ (นมร้อนไปนิด 555) ในเวลาที่หิวทั้งกาแฟ และอาหารขนาดนี้ ต้องขอบคุณนะคะ 



ร้านแบบนี้ ถ้ามีเวลามานั่งพัก จิบกาแฟ ทานขนมก็คงดีค่ะ เพราะร้านตกแต่งน่ารักมาก 



ถึงพวกเราจะจองอาหารไว้แล้ว การทานขนมนิดหน่อย เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการค่ะ เราเลยสั่ง  Matcha Mount blanc (抹茶モンブラン ). 
ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสปันจ์ชาเขียว วิปปิ้งครีม, และถั่วขาวบดรสชาเขียวมาทานกัน 



แต่ที่ชอบมากคืออันนี้ค่ะ เป็นโทสถั่วแดง, ขนมปังแผ่นหนาๆ ปิ้ง พร้อมกับถั่วแดงหวาน



มันเรียบง่ายมากนะคะ แต่อร่อยมากเลย สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านด้วย ไว้เดี๋ยวจะต้องทำทานแล้วล่ะค่ะ



เมื่อใกล้ถึงเวลาที่จองโต๊ะไว้ เราเดินกลับไป ที่ร้าน  Ukeya u (う桶や う) เดินผ่านร้านขายของน่าซื้อ แต่ก็นะ วันนี้ยังอีกยาวไกล เรายังไม่ควรจะช็อปปิ้งกันค่ะ 555  



 Gion มีตึกสไตล์ญี่ปุ่น สวยๆ ให้เราเดินดูได้ตลอดทางเลยล่ะค่ะ แค่เดินเล่นก็เพลินไม่น้อย 


ในที่สุดก็ถึงเวลาของพวกเราที่จะได้กินข้าวหน้าปลาไหลอร่อยๆ แล้วล่ะค่ะ 
เมื่อเข้าไปในร้าน ถอดร้องเท้าบู๊ทออก เรียบร้อย พนักงานก็พาเราขึ้นไปชั้นบนของร้านซึ่งเป็นส่วนของที่นั่งค่ะ (ด้านล่างของร้านเป็นที่ย่างปลาไหลนะคะ) 



ร้านมีที่นั่งประมาณ 20-25 ที่นั่งค่ะ เลยไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมการจองมาก่อนถึงจำเป็น^^.
"ใช้เวลา 5 ปีในการฝึกทำความสะอาดปลา, 8 ปีสำหรับการเสียบไม้ และใช้ทั้งชีวิตในการย่าง" ข้าวหน้าปลาไหลสไตล์เอโดะ ต้องใช้ความทุ่มเทมากๆนะคะ กว่าจะทำได้ดี  นอกจากเทคนิคที่ต้องฝึกฝน ร้านนี้ยังใช้ถ่านไม้ ( binchotan - 備長炭 -traditional Japanese charchoal) จาก Kumano (熊野) ในการย่างปลาอีกด้วย เมื่อมารวมตัวกับซ้อสสุดอร่อย ปลาไหลก็จะถูกย่างจนสมบูรณ์แบบ



เพราะพวกเรามากัน 3 คน เราเลยสั่งเป็น  U-Oke (うー桶 -10000 เยน), หรือข้าวหน้าปลาไหล ในถังไม้ ชุด3 คน ซึ่งมาพร้อมกับน้ำซุปตับปลาไหล  (kimosui -きも吸) ด้วยค่ะ  



สำหรับร้านนี้ ไม่ต้องรอนานนะคะ นั่งสูดกลิ่นปลาย่างไม่นาน ถังไม้ของเราก็มาถึงค่ะ 


ขนาดไม่ได้ใหญ่เกินไปค่ะ ทุกคน จะได้ปลาคนล่ะ 2 ชิ้น พร้อมข้าว (ที่เยอะมาก) 555 



ข้าวเสิร์ฟมาพร้อมชามแบ่ง พนักงานน่ารักมากนะคะ จะตักแบ่งให้ แต่พวกเราคิดว่า จะค่อยๆทาน ก็เลย ขอแบ่งกันเองค่ะ 



นำซุปรสชาติสดชื่น ที่เหมาะมาก กับข้าวหน้าปลาไหลที่รสชาติจัดๆ นะคะ 



ทุกคนจะได้ข้าวชามใหญ่ค่ะ แต่มันอร่อยมาก เลยไม่เป็นปัญหาอะไร 
ซ้อสของร้านนี้อร่อยดีนะคะ ไม่หวาน หรือเค็มเกินไป ตอนแรกๆ ทานข้าวอาจจะรู้สึกว่าจืด แต่เมื่อทานไปเรื่อยๆ รสชาติจะจัดขึ้น ถือว่าอร่อยมากนะคะ  



ข้าวหุงแบบนิ่มกำลังดี พวกเราทานกันจนหมดถัง (เก่งที่สุดคือเรื่องกินนี่ล่ะค่ะ 555) เมื่อกินอิ่มแล้วก็ถึงเวลาไปเดินย่อยกันหน่อยนะคะ 



อย่างที่บอกนะคะ กิอง เป็นแถบที่ถ่ายรูปสวยค่ะ เดินไปนี่กดชัตเตอร์ได้ตลอดเวลา เลย ถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็คงจะถ่ายรูปเยอะกว่านี้ค่ะ ^^.



หรือ ถ้าใครจะหาคนมาถ่ายรูปให้ก็ดีนะคะ อิอิ  สำหรับใครที่มีเวลา จะเช่ากิโมโนเพื่อใส่เดินเล่นก็น่าสนุกไม่น้อยค่ะ รอบนี้ตอนแรกว่าจะทำแต่ เพราะอยากทำหลายอย่างเกินก็เลยเวลาไม่พอค่ะ 



หลังจากเดินเล่นพอประมาณ ก็เริ่มเรียกหาของหวานอีกแล้ว มีความอยากน้ำแข็งใส ในช่วงอากาศที่หนาวๆแบบนี้ล่ะค่ะ ร้านที่ตั้งใจไปคือร้าน  祇園下河原 page one  ซึ่งขายน้ำแข็งใส (Kakigōri -かき氷)  แบบที่ราดน้ำผลไม้สดค่ะ 



ร้านโล่งมากนะคะ ในเวลาที่เรามาถึง 



ต้องสังเกตุให้ดีหน่อยค่ะ เพราะชื่อร้านมองไม่ชัดนัก ^^". 



ร้านเล็กๆ ร้านนี้ บรรยากาศเงียบสงบ อบอุ่น แล้วก็เพลงเพราะ นั่งสบายๆ ในวันฝนตกถือว่าสุดยอดมาก ^^.


เราสั่งน้ำแข็งใสชาเขียว Ujikintoki (宇治金時 - 1000 เยน) เป็นน้ำแข็งใสชาเขียวที่มาพร้อมกับ ถั่วแดง และชิราทามาโกะค่ะ และอีกชามคือ น้ำแข็งใสเลมอน Lemon shaved ice (生搾レモン- 800 เยน) และเครื่องดื่มอีกนิดหน่อย



หลังจากนั่งรอไป20 นาที ปุ๊กก็เริ่มคิดว่า เขาลืมออเดอร์เราไหมนะ เลยเดินไปถาม พนักงานบอกว่า กำลังทำอยู่ ขอให้รออีกหน่อย เอาค่ะ รอมา 20 นาที แล้วจะรอต่ออีกหน่อยจะเป็นไร



พอเขายกมาน้ำแข็งใสมา ต้องบอกเลยว่า พูดไม่ออกค่ะ น้ำแข็งใสที่เสิร์ฟมาในชามน้ำแข็ง (ปล. ชามนี่ขุดลงไปด้วยนะ) มันใหญ่มาก แล้วก็น่ากินสุดๆๆๆๆ ค่ะ 



นอกจากหน้าตาที่สวยสุดๆ รสชาติยังสุดยอดอีกต่างหาก รสชาติของชาเขียวอร่อยๆ เต็มๆ ในทุกๆคำ พร้อมกับน้ำแข็งที่นิ่มมากๆ (กินแล้วไม่มีอาการจี๊ดขึ้นสมองเลยค่ะ มันอร่อยมาก) เนื่องจากเสิร์ฟมาในชามน้ำแข็ง เราเลยไม่ต้องรีบกินนะคะ เพราะมันละลายช้ามาก หลังจากนั่งรอมานานขนาดนั้น จะนั่งละเลียดน้ำแข็งใสกันอีกสักหน่อยจะเป็นไรไปใช่ไหมคะ 5555 



น้ำแข็งใสเลมอนก็อร่อยมากเช่นกันค่ะ เพราะเป็นน้ำเลมอนคั้นสด รสชาติปรุงออกมาได้พอดี ไม่หวาน หรือเปรี้ยวเกินไป รสชาติสดชื่นมากๆ กินแต่ล่ะคำ รู้สึกเหมือนได้รับพลังจากผลไม้เลย  



มีความสุขกับอาหารและขนมกันเต็มที่ ก็ถึงเวลาเดินเล่นอีกรอบค่ะ (เพราะคืนนี้เราจองโต๊ะ ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนไว้อีก 555 กินกันไม่หยุดเลยทีเดียว) หลังจากเดินเล่นแล้ว จะกลับมาเล่าให้ฟังถึงอาหารอร่อยๆ และพาชมวิวสวยๆ ที่จะทำให้ทุกคนอยากไปเที่ยวเกียวโตกัน อีกนะคะ หวังว่าทุกคนจะสนุกกับบล็อกนี้นะคะ บายๆๆ


Eating and eating in Kyoto: 京都

No comments:

Post a Comment

Printfriendly