ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ ยังมีเรื่องเล่าให้ฟังอีกเยอะมากนะคะ เพราะมีความประทับใจในหลายๆอย่าง จะค่อยๆ เก็บมาเล่าให้ฟังกันเนาะ
หลังจากเที่ยวกินอย่างสนุกสนานใน กิองมาแล้วเต็มๆวัน (สามารถอ่านได้ ในโพสนี้นะคะ) เรายังคงมีมิชชั่นสำคัญที่ต้องทำอีกค่ะ เพราะเรามีนัดกับ เซ็นเซย์ (อาจารย์ท่านนี้มีชื่อเสียงในเรื่องชานะคะ ทั้ง ชาญี่ปุ่น และชาฝรั่ง)
ครั้งนี้ อาจารย์ได้จองโต๊ะให้พวกเราที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน ชื่อ Cenci /チェンチ, เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ดังมากร้านนึงของเกียวโต (และเป็นร้านที่คนญี่ปุ่นเองยังรู้สึกว่า จองยากมากกกก) ถือว่าพวกเราโชคดีมากที่อาจารย์รู้จักกับ เชฟ Sakamoto Ken (坂本 健) เชฟของร้านนี้ค่ะ
เรานั่งแท็กซี่จากโรงแรมไป (แท็กซี่อีกแล้วนะคะ 555 แต่ถ้าดูจากแผนที่แล้วจะเข้าใจนะคะ ว่ามันดีกว่าเดินมากค่ะ) เมื่อไปถึง หน้าร้านเล็กๆ ที่มีแสงอุ่นๆ เราก็เดินเข้าไปกันค่ะ หลังจากพนักงานเอาเสื้อโค้ท และร่มไปเก็บให้แล้ว เธอก็พาพวกเราไปยังห้องส่วนตัว ที่ได้จองไว้บนชั้น 2 ค่ะ
โต๊ะของพวกเราได้จัดไว้พร้อมแล้ว บรรยากาศในร้านดีมากๆ (ถ้าใครมีแฟน พามาเดท ก็จะโรแมนติกมากนะคะ) รายการอาหารที่จะเสิร์ฟ ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะ วันนี้เราจองเป็น อาหารค่ำแบบฟูลคอร์ส (ราคา 10,000円 ต่อคน ซึ่งมาพร้อมกับ dessert course).
สิ่งที่สังเกตุได้จากเมนูที่จะแปลกไปก็คือ รายการที่เขียนไว้ ไม่ใช่ชื่ออาหารค่ะ แต่เป็นชื่อของวัตถุดิบที่ใช้ เพราะ สิ่งที่สำคัญของร้านนี้ คือ การใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด นำมาทำอาหารค่ะ
เพราะพวกเรากำลังอารมณ์ดีกันสุดๆ เลยขอเริ่มต้นด้วย sparkling wine เพื่อจะฉลองการพบกันกับเซ็นเซย์อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมา 2 ปีแล้วนะคะ
ระหว่างที่ดื่มไวน์ ก็มีขนมปัง grissini (ขนมปังขาไก่ แบบอิตาเลี่ยน) มาเสิร์ฟ ให้พวกเราได้ทานเล่น พร้อมกับน้ำมันมะกอกหอมๆ เป็นช่วงเวลาที่คุยกันอย่างสนุกเลยค่ะ
หลังจากคุยกันได้ที่ อาหารจานแรกก็ถูกยกมาค่ะ: Prosciutto (ペルシュウ)
"Thinly sliced Japanese made prosciutto with Gnocchi and home-made mozzarella"
Prosciutto อร่อยมากๆค่ะ เนื้อไม่แห้ง แล้วก็ไม่เค็มจัด โดยเฉพาะ เป็น prosciutto ที่ทำในญี่ปุ่นด้วย (เชฟมีชื่อเสียงเรื่องการใช้ ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นค่ะ) ยอกกี้ (gnocchi) ก็อร่อย ไม่แป้งเลย แล้วก็เนื้อสัมผัสดีมากๆ และของที่อร่อยและหากินยาก อีกอย่างในจานนี้ ก็คือ Home made mozzarella (มอสซาเรลล่า) ที่เพิ่งทำจากในครัว นุ่ม และยังอุ่นๆ อยู่เลย ในขณะที่เราอยากจะเก็บรูปไว้ พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งก็เดินเข้ามา แล้วยืนเฝ้าค่ะ บอกว่าให้รีบกินก่อนที่มันจะแข็งตัว เราเลยต้องหยุดถ่ายรูปกันทันทีจากการที่พนักงานเข้ามาบอก เลยทำให้เข้าใจได้เลยค่ะ ว่าทำไมร้านอาหารอิตาเลี่ยนร้านนี้ ถึงได้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงมาก ในเกียวโต เพราะพนักงานทุกคน รู้จัก และรักอาหารที่เขาเสิร์ฟ เวลาที่เขาอธิบายเกี่ยวกับอาหารแต่ล่ะจาน เรารู้สึกได้ถึงความหมายที่สื่อมาว่าเขาต้องการให้คนที่มาทานได้ทานอาหารที่อร่อยที่สุด จริงๆ
ขนมปังที่เสิร์ฟมาในช่วงแรก จะเป็น Faccocia ค่ะ ขนมปังเนื้อดีมาก เหนียวนุ่ม ยิ่งพอนำไปจุ่มกับน้ำมันมะกอก ยิ่งออกมาอร่อยเลย
แล้วจานที่ 2 ก็ตามมาติดๆค่ะ"Cabbage, Kumquat, Puffer -キャベツ, 金柑, 河豚"
Fresh pufferfish fillet on a bed of cabbage top with Kumquat and sprout.
ปุ๊กไม่เคยทานปลาปักเป้ามาก่อนนะคะ หลายๆคน น่าจะทราบว่า เจ้าปลาชนิดนี้ ถือเป็นอาหารพิเศษของคนญี่ปุ่นค่ะ เพราะการจะแล่ปลาปักเป้าได้ จะต้องได้รับใบอนุญาติ (โดยการผ่านการสอบ) เพราะต้องรู้ว่า จะเอาพิษของปลาออกอย่างไร และเนื้อส่วนไหนที่ทานได้ ครั้งนี้ เลยเป็นโอกาสดีมากๆ ที่ได้ลอง
เนื้อปลาปักเป้าสดๆ นิ่มอร่อยมากค่ะ เมื่อทานพร้อมกับ Kumquat, เป็นจานที่สดชื่นสุดๆเลยค่ะ มาถึงตรงนี้ เจ้กุ้งได้พูดชื่ออาหารจานนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นชื่อที่น่ารักมากๆนะคะ คือ ปลาปักเป้ากะหล่ำน้อย (ก็นะ เขาไม่เขียนชื่อเมนูมา เราเลยตั้งให้เองซะเลย) ซึ่งมาจาก การที่ปลาเสิร์ฟมาพร้อมกับกะหล่ำปลี และกะหล่ำดาว (sprout) ค่ะ
เมื่อเราอร่อยกับปลาปักเป้าแล้ว จานที่ 3 ก็ถูกนำมาวางค่ะ : "White asparagus, Squid, Egg - ホワイトアスパラガス、イカ、卵"
Squid sashimi on top of white asparagus mousse (made from egg white) and top with smoked egg yolk sauce.
เชฟซากาโมโตะ เคน (Sakamoto Ken -坂本 健) เล่นกับรสชาติและเนื้อสัมผัสของจานนี้ โดยการผสมทั้งความกรุบแต่นิ่ม ของปลาหมึก ความนิ่มของมูส และรสชาติเข้มข้น พร้อมกลิ่นควันของซ้อสไข่แดง ทานพร้อมกันนี่แสนอร่อยค่ะ
หลังจานทานอาหารแบบเย็นไป 3 จาน เราก็มาเริ่มทานอาหารที่ร้อนกันบ้างค่ะ โดยจานนี้เสิร์ฟมาในกระทะใบเล็ก น่ารักมาก: "Taro, Bolognese, black truffle - 頭芋, ボローニャ、黒トリュフ"
*เมนูนี้เป็นเมนูที่มีชื่อของอาหารที่ไม่ใช่วัตถุดิบเขียนมาด้วย, ^^. เพราะส่วนประกอบของซ้อส Bolognese ทำมาจาก หมูดำ และเนื้อลูกวัวนะคะ
คาชิระอิโมะ ที่นิ่ม และร่วน วางอยู่ในซ้อส Bolognese โรยด้วยชีสที่แสนอร่อย และเมื่อวางลง พนักงานที่โต๊ะ ก็ขูด black truffle ที่หอมอร่อยลงในจาน สำหรับปุ๊กแล้ว กลิ่นของมันหอมอบอวน ชวนให้รีบทานลงไปเลยล่ะค่ะ
เมื่อทานมาถึงครึ่งทาง ขนมปังบนโต๊ะ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสแทนนะคะ ซึ่งก็ยังคงอร่อยเหมือนเดิมค่ะ
จานต่อมายังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอยู่ค่ะ โดยคราวนี้เป็นซุปค่ะ : "Rice, Conger eel - 米、穴子"
Warn wild rice soup with eel fillet,
โดยพนักงานแนะนำให้เราคนให้เข้ากัน ก่อนที่จะทาน รสชาติของข้าวป่า และปลาไหล เข้ากันได้ดีมาก ความอุ่นของถ้วยนี้ ทำให้เราทานหมดได้อย่างรวดเร็ว
แล้วก็มาถึงจานเนื้อค่ะ "Leek, Potato, Beef - 葱, じゃがいも, 田村牛"
Tamura beef over leek mousse (white part only), fried potato, leek (green part) with black olive and anchovy and tamarin sauce .
เนื้อทามุระ เป็นเนื้อที่ได้มาจากวัวญี่ปุ่น (สายใกล้เคียงกับเนื้อโกเบ เป็น Black Japanese cattle เหมือนกัน) ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของกลิ่นเนื้อที่หอม และลายไขมันในเนื้อ อร่อยแบบเกลี้ยงจานค่ะ
บอกตรงๆนะคะ ว่ามาถึงตอนนี้ อิ่มมากแล้วค่ะ การทานอาหาร แบบฟูลคอร์สไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะพวกเรากินกันแบบเต็มที่มาทั้งวันแล้ว
แต่ภารกิจยังไม่จบ เรายังคงต้องเดินหน้ากินต่อไปค่ะ
มาถึงตอนนี้ เราต้องเลือกพาสต้าคนล่ะอย่าง ซึ่งเขามีให้เลือก 3 อย่าง เราเลยเลือกกันคนล่ะอย่างนะคะ
จานนี้เป็นของปุ๊กค่ะ "Garlic chive, Crab, Spaghetti - ニラと 紅ずわい蟹スパゲティ"
ก็นะ เพราะเรามาจากครอบครัวจีน อาหารจานนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอาหารจีนมากๆค่ะ 555 เพราะเจ้ากุ่ยช่าย มันส่งสัญญาณจีนออกมาแบบเต็มๆ แต่นอกจากความรู้สึกว่าทานอาหารจีนในร้านอาหารอิตาเลี่ยนแล้ว เนื้อปูหวานอร่อย และเส้นพาสต้าต้มมากำลังดีมากค่ะ ^^
จานนี้ของคุณเพื่อนก้อย
"Canola flower. soft puffer roe, Yuzu, Spaghetti - 菜の花と河豚白子,黄柚子の香りスパゲティ"
บอกตรงๆ ว่าพอชิมแล้วชอบจานนี้มากนะคะ เพราะรสชาติสดชื่นมาก
อีกจานคือ "Kikuna, Oyster, Risotto- 菊菜と牡蠣のリゾット" (ของเจ้กุ้ง)
เนื้อสัมผัสของข้าวดีมากๆค่ะ ไม่แฉะ หรือแห้งไป ซุปที่ใช้รสชาติดี และความสดของหอยก็สุดยอดมาก
ในที่สุด อาหารคาวก็จบลงค่ะ เราเดินทางมาถึงคอร์สขนมหวานแล้วค่ะ (บอกได้เลยว่าอิ่มมาถึงหูแล้วค่ะ ตอนนี้ 555) แต่ความตื่นเต้นก็ยังสามารถเอาชนะความอิ่มได้ได้ค่ะ
พนักงานเริ่มจัดอุปกรณ์มาวางตรงหน้า และพวกเราก็เลือกเครื่องดื่มที่จะมาทานหลังอาหารค่ะ
โดยเราสามารถเลือกตามเมนูนี้ ปุ๊กเลือกเป็นชาเขียวนะคะ( Japanese sen cha (煎茶).)
สำหรับคนที่สั่งกาแฟ ก็จะมีน้ำตาลไว้ให้เติมค่ะ
ของหวานจานแรกคือ "Citrus, Fromage blance - 柑橘、フロマージュブラン"
เป็นมาสเมลโลนิ่มๆ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับซ้อสซิตรัส และมูสชีส ความหวาน, เปรี้ยว และความริซของชีส เข้ากันได้ดี จนเรากินหมดในพริบตา (ไหนเมื่อกี้บอกอิ่ม 555)
ตามมาด้วยขนมในถ้วยเล็กๆ " Hazelnut, Cacao - ヘーゼルナッツ、カカオ"
ด้านล่างของถ้วย เป็นพุดดิ้งฮาเซลนัท, ก่อนนำมาเสิร์ฟ เชฟจะเท นมรสโกโก้ (นมที่นำไปต้มกับโกโก้นิบ) ลงไป
พนักงานแนะนำให้เราคนให้เข้ากันก่อนที่จะดื่ม บอกเลยค่ะ ว่าปุ๊กประทับใจถ้วยนี้มากกกกกกก
เพราะเมื่อเราคนนมรสโกโก้ร้อนๆ ให้เข้ากับพุดดิ้งเย็นๆ ส่วนผสมทั้งหมด รวมกัน และอุณหภูมิออกมาพอดีทาน รสชาติของฮาเซลนัท เข้ากันได้ดีมาก กับโกโก้ เป็นการเล่นกับรสชาติ, อุณหภูมิ และเนื้อสัมผัสได้อย่างสุดยอดค่ะ
ในที่สุด เราก็มาถึงจานสุดท้าย ก่อนลาจากร้าน: "Strawberry, Pistachio - 苺、ピスタチオ"
ถึงตอนนี้ เราไม่ผิดหวังเลย จนถึงจานนี้ Chef Sakamoto Ken ยังคงส่งความเต็มที่มาให้เห็น ด้วยซ้อสสตอเบอรี่สดที่ราดบน dacquoise วางด้านบนด้วย pistachio gelato และมูสมาสคาร์โปเน่ ทั้งหมดใส่อยู่ในถ้วยที่ทำจาก tuile บางๆ และโรยด้วยผงพิสตาชิโอ
บอกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยค่ะ ว่ามีความสุขกับอาหารมื้อนี้แค่ไหน เราปิดท้ายคำคืนแสนสุขด้วยชาเขียวที่มาพร้อมคุกกี้ชิ้นเล็ก คุกกี้ Cenci - ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับร้าน ตอนนี้ทั้งใจและกายเต็มไปด้วยความสุขค่ะ
แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องลากันแล้ว เมื่อเปิดประตูห้องออกมา แล้วเห็นรอยยิ้มของเชฟ และพนักงาน (chef Sakamoto Ken คือคนที่อยู่ทางขวาของรูปนะคะ) วันนี้เราได้รับทั้งความรู้ และการตอนรับที่อบอุ่นอย่างเต็มที่ หวังลึกๆ อยู่ในใจ ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปที่นี่อีกครั้งค่ะ
เราขึ้นแท็กซี่กลับไปโรงแรม ในคำคืนนี้ความอบอุ่นในใจช่างมากมาย วันนี้มีความสุข ทั้งกับอาหาร เพื่อนที่อยู่ร่วมกัน และผู้คนที่ได้พบ อดคิดไม่ได้ว่า เราช่างได้รับพรมากมายจากพระเจ้าจริงๆ
เนื่องจากเมื่อวาน เรามีความสุขกับอาหารกันมาก เราจึงไม่สามารถจะทานอาหารแบบเป็นเรื่องเป็นราวได้นะคะ 555
เราเริ่มต้นวันแบบสายๆ (เช่นเคย อิอิ) ที่ตึกของสถานีเกียวโต ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมค่ะ
เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือ ร้าน MALEBRANCHE CAFÈ ( マールブランシュ カフェ) เป็นร้านที่เรายังไม่มีโอกาสได้ลองทานขนมในร้านเลย ถึงแม้ว่าจะมาเกียวโตก่อนหน้านี้ 2 ครั้งแล้ว ร้านนี้เป็นร้านขนมสไตล์ฝรั่ง ที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่ โดยร้านใหญ่ตั้งอยู่ที่ Kitayama (北山 (京都市)) ค่ะ
ขนมที่แนะนำมากๆ ของร้านนี้คือจานนี้เลยค่ะ เป็นเซ็ต Gateau Matcha (ガトー抹茶)
โดยมีเค้กชาเขียว (ที่แน่นและหนัก) เสิร์ฟมาพร้อมกับซ้อส ยูสุ และวิปปิ้งครีม พวกเราตัดสินใจจะทานจานนี้เป็นอาหารเช้ากันค่ะ
อีกจานคือ แฟรนโทส ที่ทำจากขนมปังหนาๆ เสิร์ฟมาพร้อมไอศครีมวานิลลา และน้ำเชื่อเมเปิล
สุดท้ายคือ, 恋するりんご หรือ Apple in love.
ขนมที่ทำให้เราหลงรักร้านนี้ เพราะครั้งแรก เราซื้อขนมชิ้นนี้ ก่อนที่พวกเราจะเดินทางเข้าโตเกียว แล้วนั่งทานกันไปในรถไฟ พร้อมกับคิดว่า ต้องมาทานที่ร้านให้ได้ ซึ่งรสชาติยังคงอร่อยเหมือนเดิมถึงแม้ว่าจะผ่านไป 2 ปีแล้ว สร้างความประทับใจให้พวกเราได้มากๆค่ะ
เพราะฝนตก เราเลยเปลี่ยนแผนจากการที่จะเดินทางไป ป่าไผ่ Arashiyama (嵐山), กลายเป็นการเดินช็อปปิ้งในสถานี และบริเวณรอบๆ แทน
เดินในตึกของสถานีก็ใช้เวลาไปเกินวันได้แล้วนะคะ เพราะ มีร้านค้าเยอะมาก(ลองเข้าไปดูที่นี่ รายการร้านค้า) มีอิเซตันเจอาร์ ใหญ่ๆ และหากเดินออกไปนอกสถานี ใกล้ๆ กันยังมี BIC CAMERA JR Kyoto Station Store (ปุ๊กได้เกมมาเยอะมากค่ะ ^^) รวมถึง Yodobashi Camera Multimedia (ヨドバシカメラ), ที่จะสามารถออกไปซื้อของแบบปลอดภาษีได้อีก
คงไม่ต้องถามนะคะ ว่าวันนี้สนุกไหม 555
เนื่องจากปุ๊กเป็นพวกบ้าเครื่องครัว และหลายๆแบรน จะมีไลน์พิเศษ ที่มีขายเฉพาะที่ญี่ปุ่น งานนี้ จึงมีภารกิจ ที่จะต้องขนกันเต็มที่ค่ะ ^^.
หลังจากเดินเล่น และช็อปปิ้งกันพอประมาณ เราก็มาเติมพลังกันด้วยขนมอร่อยๆ ขนมปังเดนิชรูปหัวใจ ของร้าน Andersen – Danish Heart ที่อยู่ในชั้น B1 (ชั้นใต้ดินที่ 1 ของ Isetan Jr ค่ะ).
เดนิชพาสตี้อร่อยๆ ที่มีใส้เป็นราสเบอรี่ แบบนี้ก็อร่อยมากค่ะ แล้วยังน่ารักอีกต่างหาก กินเพลินๆ หลายชิ้นแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว !.
ร้านนี้ก็อร่อยนะคะ เป็นร้านแฮมเบอร์เกอร์ (เนื้อสับก้อน) เก่าแก่ มีสาขาอยู่ในสถานีค่ะ |
ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่ได้อยากทานอาหารในร้านค่ะ เราข้ามถนน จากสถานีเกียวโต เพื่อเดินไป Aeon mall Kyoto, เพื่อช็อปปิ้งเพิ่ม 555
เย็นนี้ เราทานอาหารกันในฟู้ดคอร์ทของของอีออนมอลล์ ( Aeon mall Kyoto) โดยเริ่มจาก ทาโกะยากิค่ะ (550 yen) จากร้าน Tsukiji Gindako (築地銀だこ), รสชาติก็อร่อยดีนะคะ
แต่จานที่ชอบมากคือจานนี้ค่ะ ข้าวพร้อมเนื้ออบ (roast beef rice bowl (890 yen)) เนื้ออบแบบกึ่งดิบ พร้อมไข่แดงดิบ เสิร์ฟมาพร้อมสลัด จากร้าน Roast beef star ローストビーフ星 จานนี้อร่อยมากค่ะ เนื้อดีเชียวล่ะ
สำหรับการทานอาหารในฟูดคอร์ท มีสิ่งที่ต้องทำอย่างนึงซึ่งอาจจะต่างจากบ้านเรา ตรงที่ เมื่อทานเสร็จแล้ว เราต้องเก็บจาน และถาดกลับไปที่ร้าน แล้วก็เก็บโต๊ะที่เราทานให้เรียบร้อย โดยเขาจะมีผ้าให้เราเช็คทำความสะอาดโต๊ะด้วยนะคะ
เราจบวันอันแสนสุขเมื่อห้างใกล้ปิด แล้วเดินผ่าลมหนาวกลับโรงแรม พร้อมกับถุงเต็ม 2 มือ พรุ่งนี้ เราจะออกจากเกียวโต เพื่อไปที่ Otsu (大津市) แต่ก่อนหน้านั้น เรายังคงมีแผนที่จะใช้เวลาในเกียวโตเพื่อไปชมสถานที่สวยๆกัน ซึ่งหวังว่า ทุกคนน่าจะชอบค่ะ
ติดตามตอนต่อไปกันนะคะ .....................
No comments:
Post a Comment