Wednesday, January 30, 2008

ช็อกโกแลต วานิลลา และ มาร์เบิล คัพเค้ก

ทำเค้กสูตรเดียวแต่ได้ เค้กสามรสชาติ ฟังแล้วดูดีไหมคะ ใครๆก็อยากจะมีสูตรคัพเค้กที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ แล้วก็ทำได้เรื่อย สูตรนี้ถ้าดูจากสูตรก็คือปอนด์เค้กนี่ละคะ แต่เอามาใส่ในถ้วย ทำง่ายๆไม่ยุ่งยากค่ะ ได้เค้กสามแบบในทีเดียว เพียงแค่แบ่งแป้งที่ผสมแล้วออกเป็น2 ส่วน ส่วนหนึ่งช็อกโกแลต ส่วนหนึ่งวานิลลาค่ะ ดังนั้นถ้าเกิดวันไหนอยากทำแต่วานิลลาก็แค่ไม่ต้องใส่โกโก้ หรืออยากทำเป็น ช็อกโกแลตคัพเค้ก ก็แค่เพิ่มโกโก้เป็นสองเท่าเท่านั้นเอง จริงๆแล้วการตกแต่งก็ตามใจเลยค่ะ แต่ใช้ช็อกโกแลตก็ง่าย แล้วถ้าช็อกโกแลตอร่อยก็ทำให้คัพเค้กอร่อยขึ้นอีกนะคะ

ช็อกโกแลต วานิลลา และ มาร์เบิล คัพเค้ก

ทำได้คัพเค้กธรรมดา 6 อัน หรือ มินิคัพเค้ก24 อันค่ะ


100g

เนย

100g

น้ำตาลทราย

2

ไข่

100g

แป้ง self raising flour (ร่อน)

(ในเมืองไทยใช้แป้งเค้ก ผสมกับผงฟู ½ ช้อนชาก็ได้ค่ะ)

2tbsp

ผงโกโก้

½ tsp

vanilla essence

100g

ช็อกโกแลตขาว (ละลาย) white chocolate

100g

ดาร์กช็อกโกแลต (ละลาย) dark chocolate

เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 °C

ตี เนยและน้ำตาลด้วยกัน จนฟูขาว ใส่ไข่ ตีให้เข้ากัน ใส่แป้ง แล้วแบ่งส่วนผสมของแป้งออก เป็นสองส่วน

ส่วนหนึ่งผสมกับ โกโก้(ถ้าแห้งไปให้ใส่นมเล็กน้อย) อีกส่วนหนึ่งผสมกับวานิลลา

ตักส่วนผสมของแป้งลงในถ้วยมัฟฟินที่วางกระดาษไว้ ให้มีทั้งวานิลลา ช็อกโกแลต และ มาร์เบิล แล้วนำเข้าอบประมาณ 25-30 นาที (8 นาทีสำหรับมินิคัพเค้กค่ะ)

จุ่มเค้กลงในช็อกโกแลตที่ละลายไว้ วานิลลาคัพเค้กในดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตคัพเค้กในช็อกโกแลตขาว หรือจะราดช็อกโกแลตลงบนหน้าเค้กก็ได้ค่ะ (ตามใจค่ะ)

ปรับปรุงสูตรจาก: Olive Magazine

ฉบับ: January 2008

Tuesday, January 29, 2008

Made in Italy

โดย Giorgio Locatelli





ยอมแพ้แล้วค่ะ ไม่รู้จะเขียนอะไรเพราะมีมากมายเหลือเกินที่อยากเขียน หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยข้อมูล สูตรอาหาร และเรื่องราว ซึ่งเยี่ยมมาก (และหนักมากด้วย) ผู้เขียน Giorgio Locatelli มีความรักในอาหารมาก โดยเฉพาะอาหารอิตาเลี่ยน ซึ่งเขาบอกเล่าเรื่องราวได้ดีมาก เขาเอง มาจากครอบครัวที่มีอาหารเป็นศูนย์กลาง (ครอบครัวเขาทำโรงแรม และยายเขาก็ทำอาหารเก่งมากๆด้วย)

ในหนังสือมีสูตรอาหาร และข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมมากมายค่ะ (ไม่ใช่แค่ข้อมูลธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความทรงจำของผู้เขียน และประวัติศาสตร์ของอาหาร ต่างๆแบบไม่น่าเบื่อ เช่น ชีสGorgonzola เกิดขึ้นจากการที่ผู้ดูแลโรงแรมคนหนึ่งลืม ชีสStracchino ไว้ในห้องครัวจนกระทั่งราขึ้น แต่โชคดีที่รสชาติของชีสกลับดีมากจนมีการเริ่มทำตั้งแต่นั้นมา) ส่วนหนึ่งที่เหมือนกับตำราอาหารอิตาเลี่ยนตัวอื่นคือ การสอนให้เรามีความเคารพต่ออาหารที่เราทาน (อย่างเวลาที่ฆ่าหมูสักตัว คนอิตาเลี่ยนจะใช้ทุกส่วนของมันมาทำเป็นอาหารเพื่อไม่ให้เสียของสักส่วนเลย) ในความเป็นจริงคือเราต้องยอมรับว่าอาหารของเราไม่ได้มาจากโรงงาน หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ทุกอย่างมาจากธรรมชาติ เพราะตอนนี้เรารู้จักเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ แบบเป็นชิ้นส่วนมากกว่าเป็นตัว อย่างที่เขาเล่าให้ฟังว่าลูกๆของเขาคิดว่าเขาเป็นคนโหดร้ายที่ เขาฆ่าปูเพื่อทำอาหาร ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียใจมาก

สูตรอาหาร(ที่มีมากมาย จาก antipasti ไปถึง dolci) ก็มีเคล็ดลับที่จะทำให้ดีขึ้น(เช่นวิธีการปรุงหรือการเก็บค่ะ) แล้วก็จะมีเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ มาพร้อมกับสูตรด้วย รูปภาพต่างๆในเล่มทั้งใหม่และเก่า ทำให้เราได้รู้จักทั้งชีวิต และ ความทรงจำของ เขาค่ะ

ตอนนี้ก็อย่างที่บอกไม่รู้จะเขียนอะไร แต่อยากจะให้ลองอ่านดูถ้ามีโอกาสได้ไปร้านหนังสือ ลองอ่านดูซักบทคุณอาจจะรัก หนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเหมือนกับที่เราเป็นอยู่ก็ได้ค่ะ

Saturday, January 26, 2008

Vanilla-Vanilla

มีปัญหากับกลิ่น วานิลลาปลอมๆมานานแล้วค่ะ ไม่ชอบมากๆเลย แต่ร้านเบเกอรี่ส่วนใหญ่ก็ใช้กันนะคะ ไม่ค่อยมีร้านที่ใช้วานิลลาแท้ ซะเท่าไร บางคนก็ชินกับกลิ่นของมันด้วยซ้ำ แต่สำหรับเราไม่ชอบอยู่ดี พอเริ่มทำขนมเองก็เลยอยากใช้ pure vanilla extract เวลาทำขนมเค้ก แต่ในเมืองไทยก็หายาก แล้วก็ไม่ชอบเวลาที่ต้องฝากคนซื้อมาด้วย เลยหาทางที่จะทำ vanilla extractเอง (ตอนแรกอยากปลูกเองเลยค่ะ เพราะคิดว่าจะได้ทั้งฝัก แล้วก็เอามาทำvanilla extract ได้ด้วยแต่กว่าจะมาเป็นวานิลลาอย่างที่เราเห็น ต้องผ่านหลายขบวนการค่ะถ้าอยากรู้ลองอ่านได้จาก ที่นี่ค่ะ)

แล้วในที่สุดก็เจอกับวิธีที่จะทำเองได้ วิธีทำ vanilla extract จากหนังสือ Brilliant Food Tips and Cooking Tricks: 5,000 Ingenious Kitchen Hints, Secrets, Shortcuts, and Solutions โดย David Joachim ค่ะ สำหรับใครที่สามารถหาซื้อเองได้ง่าย อาจจะไม่อยากทำ แต่ vanilla extract ที่ทำ เองให้กลิ่นที่หอมหวานมากเลยนะคะ ยิ่งใส่ฝักมากขึ้น ก็หอมมากขึ้นค่ะ

ดังนั้นปัจจัยหลักคือ ฝักวานิลลา ขอให้ใหม่แล้วก็หอมๆ ก็จะทำให้ extract ออกมาหอมเช่นกันค่ะ (ในเมืองไทยเคยซื้อจาก Central food hall อยู่ตรงแถวๆเครื่องเทศนำเข้าเป็นกระป๋องสังกะสีเล็กๆค่ะ) ถ้าเริ่มทำวันนี้ก็จะใช้ได้ในอีก 3 เดือน(อันนี้คือไม่ใช้ extract แบบ commercial เลยนะคะ) แล้วก็ใช้ได้ตลอดไปเลยค่ะ ไม่มีวันหมดอายุ

Home Made Vanilla Extract




750 ml เหล้า vodka (แบบไม่แพงนะคะ)
6 vanilla bean กรีดตรงกลางฝักด้วยค่ะ
½ cup vanilla extract สำเร็จรูป (ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ค่ะ)

ใส่ vanilla bean ลงในขวดแก้ว เทเหล้า ลงไป ปิดฝา แล้วนำไปเก็บไว้ในที่มืดและเย็น เขย่าขวดบ้าง (เฉพาะเวลาที่จำได้ก็ได้ค่ะ) extract จะใช้ได้ในอีก 3 เดือน หรือถ้าใส่แบบ commercial extract ด้วยก็อีก 6 อาทิตย์ค่ะ



vanilla bean จากในขวดค่ะ

จากหนังสือ : Brilliant Food Tips and Cooking Tricks: 5,000 Ingenious Kitchen Hints, Secrets, Shortcuts, and Solutionsโดย David Joachim

Wednesday, January 23, 2008

ขนมปังใส่แฮมกับชีส

大きなパンが作れる本 (ตำราขนมปังสำหรับทำขนมปังขนาดใหญ่) โดย คิมิเอะ โอกุโระ ( Kimie Oguro)

ถึงชื่อหนังสือจะบอกว่าทำขนมปังขนาดใหญ่ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้ใหญ่มากหรอกค่ะ เพราะใช้แป้งแค่ประมาณ 300 กรัมเหมือนตำราขนมปังเล่มอื่นๆ แต่ถ้าใช้เตาอบขนาดเล็ก ก็ถือว่าเป็นขนมปังที่มีขนาดใหญ่แต่อบได้แบบกำลังดีในเตาค่ะ ในเล่มจะมีขนมปัง 3 แบบ แบบsimple แบบrich และแบบnaturalค่ะ ขนมปัง แบบsimpleจะเป็นขนมปังสไตล์ country ซึ่ง จะมีขนมปังพวก Foccacia (มีทั้งแบบธรรมดา, มี topping และมีใส้ค่ะ)และ English muffin (ซึ่งใช้เตาไฟฟ้าทำ) ขนมปังที่อบได้ในเตาอุ่นขนม(oven toaster)หรือขนมปังที่ทำโดยใช้กระทะ (มีสูตรทำแกงแนบมาด้วยนะคะ) ขนมปังแบบrich ก็จะเป็นขนมปังที่มีไข่ มีไขมัน และมีรสหวาน เช่น ขนมปังใส่ผลไม้แห้ง, ขนมปังสำหรับปาร์ตี้ (แบบมีพวกงาหรือเมล็ดพืชอื่นๆโรยหน้า), ขนมปังใส่แฮมกับชีส, ขนมปังเปีย, และขนมปังทอด ขนมปังแบบnaturalก็จะเป็นขนมปังที่มีส่วนผสมของแป้งโฮลวีล ผลไม้แห้งและ ถั่วต่างๆ ก็เหมือนกับตำราอาหาร ของญี่ปุ่นทั่วไปค่ะทุกบทจะเริ่มต้นด้วยภาพแสดงวิธีการทำขนมปัง ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จ แล้วยังมีภาพประกอบแสดงวิธีทำของขนมปังในแต่ละสูตรด้วยซึ่งก็ดีค่ะเพราะ แต่ละสูตรก็มีการทำที่ต่างกันไป รูปขนมปังที่ถ่ายมาดูน่าทาน แล้วยังมีส่วนย่อยๆที่บอกถึงการนำขนมปังที่ทำ มาประกอบเป็นมื้ออาหารด้วยเช่นอาหารเช้าหรือของว่างค่ะ ที่หน้าปกของหนังสือมีคำว่า คันทัน (ง่าย) อยู่ด้วย ก็หมายความว่าเล่มนี้เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำขนมปัง หรือใครก็ตามที่ชอบทำขนมปังแบบง่ายๆเช่นเดียวกันค่ะ



สำหรับขนมปังใส่แฮมกับชีสสูตรนี้ ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อยให้เหมาะกับความชอบของคนในบ้านค่ะ หวังว่าคนอื่นจะชอบด้วยนะ แล้วส่วนตัวคิดว่าสูตรเล่นนี้ทำขนมปังไม่ใหญ่เท่าไหร่ค่ะ เพราะวันนี้ที่ทำยังต้องเพิ่มเป็น 2 เท่าเลยถึงจะพอเพราะอร่อยมากค่ะ


ขนมปังใส่แฮมกับชีส

(ทำได้ขนาด28x10cm ค่ะ)


ตัวขนมปัง
300 g แป้งขนมปัง
6 g Instant dried yeast
20 g น้ำตาล
5 g เกลือ
30 g เนยจืด
210-220 g ไข่ 1 ฟอง + นมสด


ใส้
100 g แฮม ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ
50 g Cheddar Cheese ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ


หน้า
50 g หอมใหญ่ ซอย
5 tbsp Mayonnaise
50 g Gruyère Cheese ขูดฝอย


ใส่แป้งครึ่งหนึ่งลงผสมกับ Instant dried yeast ในชาม คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาล เกลือ แล้วคนอีกรอบ ใส่ส่วนผสมของไข่กับนม ลงไปในแป้ง ใช้พายยางหรือช้อนคันใหญ่คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่แป้งที่เหลือลงไป นวดเล้กน้อยให้แป้งจับตัวรวมกัน นำก้อนแป้งออกจากชาม นวดประมาณ 5 นาที ใส่เนยแล้วนวดจนเข้ากันดี (รวมเวลานวดทั้งหมด ประมาณ 10นาที) จนแป้งเนียน และนุ่ม

นำก้อนแป้งใส่ลงใน ชามที่ทาเนยไว้ พักแป้งไว้จนขึ้นประมาณ 2 เท่า (1 ชม-1 ชมครึ่ง แล้วแต่ความร้อนของอุณหภูมิห้อง

เตรียมพิมพ์โดยปูกระดาษรองอบไว้ในพิมพ์ พักไว้

นำแป้งออกจากชามแล้วรีดแป้งให้เป็น สี่เหลี่ยมโรยแฮมและชีสให้ทั่ว แล้วม้วนให้เป็นแท่ง กดให้แน่น แล้วตัดเป็น 6 ชิ้น วางลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้โดยวางด้านที่ตัดไว้ด้านล่าง


เปิดเตาอบไว้ที่อุณภูมิ 200°C. เตรียม topping โดยผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน (ปรุงแต่งรสตามใจค่ะ ส่วนตัวเองชอบเพิ่ม mayonnaise) ปล่อยให้ขนมปังขึ้นเกือบ 2เท่า แล้วราดด้วย topping นำเข้าอบนาน 10 นาที แล้วลดอุณหภมิลงเหลือ 180°C แล้วอบต่อ อีก 10-15 นาที

ปรับปรุงสูตรจาก: 大きなパンが作れる本 by Kimie Oguro

Tuesday, January 22, 2008

อัลมอนด์ทาร์ต

Almond Tart

ครั้งแรกที่ทำสูตรนี้ เราประกาศออกมาเลยค่ะว่าไม่ทำอีกแล้ว เพราะแป้งทาร์ตไหม้เกือบหมดเลยค่ะ ในสูตรที่ให้มาเป็นแบบ ค่ะ น่ารักมากๆ กว้างแค่ 1 นิ้วเอง ก็ทำตามสูตรอย่างดีนะคะ แล้วก็เอาทาร์ตอันเล็กๆเข้าอบกดเริ่มจับเวลา แล้วเราก็นั่งอ่านหนังสือรอ หลังจากนั้น 15 นาที เตาอบต็มไปด้วย ควันค่ะ ทาร์ตสีเหลืองทองของเรา ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ครึ่งถาดค่ะ เป็นเรื่องแย่ที่เกิดขึ้นในครัวอีกแล้วค่ะ ตอนที่มานั่งมองแป้งทาร์ตที่มีก้นเป็นสีดำ(ถึงไหม้ไม่หมด แต่สีออกน้ำตาลเข้มมากๆค่ะ) ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่พี่สาวเราเชียร์ว่าทำให้มันเสร็จเถอะ ก็เลยทำต่อพอทาร์ตเข้าอบแล้ว ก็ไม่ได้หวังอะไรแล้วค่ะ แต่พอสักพักได้กลิ่นอัลมอนด์หอมๆลอยมา แล้วพอทุกคนชิมก็บอกว่าดี เราก็เลยขอลองใหม่

แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วนะคะ ถึงแม้ว่าขนาดพอคำจะน่ารัก แต่ก็น่ารำคาญเวลาทำ (เพราะพลาดไปแล้วไงคะ)ถาดใหญ่ขึ้นจะดีกว่า สำหรับอัลมอนด์ครีมอยากให้มันหอมหวานกว่าเดิมก็เลยเพิ่ม vanilla extract เข้าไป แป้งทาร์ตถ้าหนาเกินไป (ตามสูตรเดิม)ทำให้เหมือนทาน almond biscuit มากไป ก็เลยเพิ่ม อัลมอนด์ครีมเป็น 2สูตรแทน แล้วรีดแป้งให้บางขึ้น สิ่งที่สำคัญก็คือเวลาที่ใช้ในการอบค่ะ ครั้งนี้ใช้เวลาเท่ากับขนาดเล็กเลย แต่ออกมาพอดีนะคะ ตอนนี้ได้ อัลมอนด์ทาร์ตที่โชว์ใครๆได้แล้วค่ะ หวังว่าทุกคนก็จะชอบเหมือนกันนะคะ

(โดยส่วนตัวไม่ชอบพูดว่าใครดังนั้นขอไม่บอกชื่อหนังสือนะคะ แต่เล่มนี้เป็นภาษาไทยค่ะ)

อัลมอนด์ทาร์ต

4- (4 ½ นิ้ว x 1 นิ้ว)


Tart


120 g

แป้งอเนกประสงค์

35 g

อัลมอนด์ ป่น

40 g

น้ำตาลไอซิ่ง

¼ tsp

เกลือ

115 g

เนยจืด



Almond cream


120 g

เนยจืด

130 g

น้ำตาล

2

ไข่

1 tsp

vanilla extract แท้

100 g

อัลมอนด์ ป่น

4 tbsp

แป้งเค้ก

½ tsp

เกลือ



Topping


80 g

อัลมอนด์ สไลด์

ทำแป้งทาร์ต:

ร่อนน้ำตาลไอซิ่ง แล้วพักไว้ ร่อนแป้งกับเกลือด้วยกันแล้วพักไว้

ตีเนยกับน้ำตาลไอซิ่ง จนขึ้นฟู แล้วใส่แป้งกับอัลมอนด์ ป่น ลงไปคนให้เข้ากัน ปิดด้วยพลาสติก แล้วนำเข้าแช่ในตู้เย็น 30 นาที

ทาพิมพ์ทาร์ตด้วยเนย (เยอะๆก็ดีค่ะ) คราวนี้ก็รีดแป้งได้แล้วค่ะ รีดให้แป้งบางประมาณ 5มิลลิเมตร แล้วยกแป้งโดยใช้ไม้คลึงแป้งช่วยวางลงบน พิมพ์ทาร์ตแช่เย็นประมาณ 30 นาทีก่อนเข้าอบ

เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180°C

อบทาร์ตแบบ Bake blind (คือการอบโดยไม่ใส่ใส้แต่ใช้ ถั่วแห้งหรือข้วสารวางทับ อะลูมิเนียมฟอยล์ แล้ววางลงบนแป้ง เพื่อให้แป้งสุก และไม่พองตรงกลาง) ประมาณ 15 นาที หรือจนสีเหลืองสวย เอาทาร์ตออกมาแต่ยังไม่ต้องปิดเตา

ในขณะที่ ทาร์ตอบอยู่มาทำอัลมอนด์ครีมกันเลยค่ะ

ร่อนแป้งกับเกลือด้วยกันแล้วพักไว้

ตีเนยกับน้ำตาลจนขึ้นฟู แล้วใส่ vanilla กับไข่ลงไป (ทีละฟอง) พอเข้ากันดีใส่ แป้งกับอัลมอนด์ป่น ลงไปคนให้เข้ากัน

เทลงในแป้งทาร์ต เกลี่ยให้ทั่ว โรยด้วยอัลมอนด์ สไลด์ แล้วนำเข้าอบจน ประมาณ 20-25 นาที นำออกจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น

Sunday, January 20, 2008

Chocolate Hamper (กระเช้าช็อกโกแลต)

ยังไม่ถึง วาเลนไทน์ หรอกค่ะ แต่ได้กระเช้าช็อกโกแลตจากสุดที่รักมาแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็ชอบมากๆค่ะ เพราะตัวเองชอบใช้เวลาอยู่ในแผนกช็อกโกแลต เป็นเวลานานๆ (จริงๆแล้วคือชอบซุปเปอร์มาเก็ตมากด้วย ไปที่ไหนก็ต้องไปซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ได้เป็นวันๆ แบบจะตื่นเต้นกับอาหารที่อยู่รอบๆตัวชอบมากค่ะ) ช็อกโกแลตเป็นขนมที่ทำให้รู้สึกดีได้ทันทีเลย เวลาที่เศร้า หรือรู้สึกไม่ดี โดยส่วนตัวจะชอบช็อกโกแลตที่มี cocoa mass สูงๆนะคะ ซึ่งเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ง่ายขึ้นมีเกือบทุกซุปเปอร์มาเก็ตเลย แต่ก็มีบางครั้งที่อยากจะทานช็อกโกแลตที่ที่หวานๆแบบที่ทานตอนเด็กๆ เช่น M&M, KitKat, และ Hershey’s Milk Chocolate Kiss เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเห็นกระเช้าอันนี้ก็เลยดีใจสุดๆเลยค่ะ เพราะมีทั้ง dark chocolate และ ช็อกโกแลตหวาน มาด้วยกัน ดังนั้นวันนี้ขอโชว์ของในกระเช้านะค่ะ


อันที่1: Mr. M&M

น่ารักและยิ้มแย้มตลอดเวลา เขาทั้งคู่สัญญาว่าจะไม่ละลายในมือเราค่ะ

อันที่2: KitKat Bites

ไม่ต้องหัก แล้วค่ะ KitKat คราวนี้มาเป็นชิ้นแบบพอคำทานง่ายค่ะ


อันที่3: Hershey’s Sticks

วันละหนึ่งแท่ง กำลังดีค่ะ


อันที่4: Hershey’s Milk Chocolate Big Kiss

จูบนี้คงอยู่ไม่นานค่ะ ขออันใหญ่กว่านี้ได้ไหม

อันที่5: Hershey’s Pot of Gold

ทองคำซ่อนอยู่ในช็อกโกแลตค่ะ

อันที่6: Lindt Lindor Cornet Dark 60%

อันนี้คือของโปรดค่ะ มีใส้นิ่มๆอยู่ข้างใน dark chocolate มี 3 ชิ้นไม่พอหรอกค่ะ (ตอนที่เขียนอยู่นี่หมดไปแล้วค่ะ)

อันที่7: Hawaiian Host Dark Chocolate

แมคคาเดเมียกับ dark chocolate เข้ากันดีมากเลยค่ะ เรายังไม่เคยไปฮาวายเลย แต่ถ้าฮาวายรสชาติอร่อยขนาดนี้ก็อยากไปค่ะ

อันที่8: Guylian Chocolate Sea Shells

ไม่ต้องไปทะเลก็หาเปลือกหอยได้ค่ะ แล้วอันนี้ทานได้ด้วย


อันที่9: Guylian La Trufflina

Truffle คงเป็นของหวานปิดท้ายของกระเช้านี้ค่ะ ขอตัวเลิกเขียนแล้ว จะไปทานช็อกโกแลตแล้วค่ะ

Friday, January 18, 2008

สวัสดี เลดี้ค่ะ

ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนบล็อกไปเป็นเป็นเรื่องอื่นนะคะ แต่ทุกๆคนย่อมอยากมีวันที่มีแต่ของอร่อยๆ
เหมือนๆกัน เลดี้ก็ด้วยค่ะ เลดี้เป็นสุนัขพันธุ์ ปักค่ะ ตอนนี้มีอายุ 4 ปีแล้ว เป็นเพื่อนที่สนิทมากๆค่ะ แล้วเลดี้ก็ชอบทานอาหารดีๆเหมือนกัน (ชอบทาน เบเกิ้ลมากด้วย) แต่เลดี้เธอแพ้เนื้อไก่ค่ะ ดังนั้นเวลาทานอาหารก็ต้องไม่มีไก่ผสม ของเคี้ยวเล่นก็เหมือนกัน ซึ่งหายากค่ะส่วนใหญ่ไก่จะป็นส่วนผสมหลัก ก็เลยเอาสูตรนี้มาแชร์สำหรับคนที่มีเพื่อน 4 ขาที่แพ้ไก่เหมือนกัน เอาไว้เวลาอยากทำอะไรพิเศษๆให้กัน สูตรนี้มาจากหนังสือ
The Professional Pastry Chef: Fundamentals of Baking and Pastry ค่ะ ซึ่ง Bo Friberg ก็รักสุนัขของเขามากเหมือนกัน เขาจึงคิดสูตรนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ พอดีว่ามีที่ตัดคุกกี้เป็นรูป กระดูกอยู่ ก็เลยตัดเป็นรูปนี้ซึ่งช่วยให้เลดี้เธอจับตรงปลายได้เวลากัดเล่นค่ะ แต่จะตัดเป็นรูปอะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่


บิสกิตพิเศษของสุนัขค่ะ

Special Reward Dog Biscuits

ทำได้30 อัน (7.5x3.7cm.)



340 g แป้งโฮลวีล
340 g แป้งขนมปัง
55 g จมูกข้าวสาลี
2 tablespoons น้ำตาลทรายแดง
1 teaspoon เกลือ
3 ไข่
240 ml น้ำมันพืช
85 g นมผง
240ml น้ำเปล่า


1.ผสมแป้งโฮลวีล, แป้งขนมปัง, จมูกข้าวสาลี, น้ำตาลทรายแดง และเกลือ ในชามขนาดใหญ่ แล้วเทไข่กับน้ำมันพืชลงไป

2.ละลายนมผงในน้ำ แล้วเทลงไปในส่วนผสมของแป้ง

3.ผสมจนเข้ากันดีจน โดเนียนและยืดหยุ่นดี (ใส่แป้งและน้ำเพิ่มได้เล็กน้อยเพื่อให้แป้งนวดได้)

4.พักโดไว้ 15-20 นาที

5. รีดโดให้หนาประมาณ 1.2 เซนติเมตร แล้วตัดด้วยที่ตัดรูปกระดูกขนาด 7.5 x 3.7 เซนติเมตรแล้ววางบิสกิตลงในถาด

6.อบในเตาอบที่อุณหภูมิ 190°C ประมาณ 40 นาที หรือจนบิสกิตเป็นสีน้ำตาลและแข็ง พักไว้จนเย็นแล้วเก็บในขวดโหลที่ปิดสนิท

Tuesday, January 15, 2008

กาแฟปั่นรสคาราเมล

Caramel Coffee Shake

เวลาออกไป ชอปปิ้งกับพี่สาวทีไรจะ ซื้อFrappuccino, ที่ ทุกทีเลยเวลานั่งดื่นกาแฟปั่นเย็นๆในวันที่อากาศร้อนก็รู้สึก สดชื่นดีนะคะ พี่สาวชอบ Caramel Frappuccino Blended Coffee ใส่ whipped cream แต่ตัวเองชอบ Espresso ปั่นมากกว่า แล้วสองพี่น้องก็จะนั่งคุยกันมองคนโน้นคนนี้ สนุกเพลิดเพลินค่ะ แต่ก็สังเกตุว่าwhipped creamของพี่สาวเราหมดก่อนกาแฟทุกที ท่าทางจะชอบเอามากๆ ก็เลยอยากจะทำเองเพื่อ เธอสักครั้งค่ะ

แต่ครั้งแรกที่ทำ ไม่ได้เรื่องเลยค่ะ เอาน้ำตาลใส่ไมโครเวฟนานเกินไป ทั้งไหม้แล้วก็ควันเหม็นทั่วบ้าน แต่แค่นั้นยังไม่พอนะคะ พอทำ คาราเมลได้ จัดใส่แก้วซะสวยเลย เพิ่งจะนึกออกว่าลืมใส่น้ำตาลลงในกาแฟ แย่ที่สุด ไม่มีความอร่อยเลยค่ะ

แต่คนอย่างเราไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว จะต้องทำให้ได้แล้วก็ต้องอร่อยด้วยนะคะ

วันนี้ทำได้แล้วค่ะ ถึงรสชาติจะไม่เหมือน แต่ก็อร่อยไม่แพ้ใครค่ะ ใช้ไมโครเวฟ ในการทำ คาราเมลนะคะตอนนี้ตัวเองทำคล่องแล้วค่ะ แต่แนะนำว่าถ้าทำครั้งแรกให้ใช้เวลาน้อยหน่อยนะคะ ไม่งั้นอาจจะได้ควันเต็มบ้านได้ค่ะ ถ้าไม่แน่ใจก็ใช้วิธีต้มน้ำตาลแล้วค่อยเติมครีมแบบปรกติก็ได้ค่ะ




คาราเมลครีม
50 g น้ำตาล
2 tbsp น้ำเปล่า
2 tbsp Whipping cream


whipped cream หวาน
½ cup Whipping cream
1 tbsp น้ำตาล


กาแฟ
1⅓ tbsp กาแฟสำเร็จรูป
2 tbsp น้ำร้อน
4 tbsp คาราเมลครีม
1 tbsp นมข้นหวาน
4 tbsp นมสด
400 g น้ำแข็ง

ขั้นแรกทำคาราเมลครีมก่อนค่ะ

นำ whipping cream กับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในถ้วยที่เข้าไมโครเวฟได้ ปิดด้วยพลาสติก แล้วเข้าไมโครเวฟ 30 วินาที พักไว้

ใส่น้ำตาลและน้ำ 1 ช้อนโต๊ะลงในชามใบใหญ่ที่เข้าไมโครเวฟปิดด้วยพลาสติก แล้วเข้าไมโครเวฟ 3-4 นาที (อันนี้แล้วแต่เครื่องค่ะ ของที่บ้าน ใช้ประมาณ 3.20 นาที)

นำชามออกจากไมโครเวฟ (แนะนำให้ใส่ถุงมือ นะคะเพราะ ร้อนและทำให้ผิวไหม้ได้เลยค่ะ) แกะพลาสติกออกแล้วเทครีมลงไป คาราเมลจะเดือดค่ะ (นี่คือเหตุผลของชามใบใหญ่ค่ะ)

ตอนนี้เราได้คาราเมลครีมแล้วค่ะ

ต่อมาทำ whipped cream หวานค่ะ

นำ whipping cream และน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วย แล้วตีจนขึ้นฟูตั้งยอดได้ ใส่ถุงบีบที่มีหัวรูปดาวใส่ไว้ นำไปแช่ในตู้เย็นระหว่างทำกาแฟปั่น

ทำกาแฟปั่นค่ะ

เทน้ำร้อนลงในถ้วยที่ใส่กาแฟสำเร็จรูปไว้ ใส่นมข้นหวาน และนมสด พักไว้

ใส่น้ำแข็งลงในโถปั่น ใส่คาราเมลครีม ลงไป4ช้อนโต๊ะ แล้วตามด้วยกาแฟ ปั่นจนเข้ากันดีแล้วเทใส่แก้ว

ตกแต่งค่ะ

บีบ whipped cream ลงบนกาแฟปั่น แล้วราดด้วยคาราเมลครีมที่เหลือ เสิร์ฟทันที

Sunday, January 13, 2008

ขนมปังโฮลวีล กับจมูกข้าวสาลีและแป้งไรท์

Whole Wheat Bread with Wheat Germ and Rye

ส่วนตัวแล้วชอบทานขนมปัง whole what bread ไม่ใช่ว่ารักษาสุขภาพหรอกนะคะ (เพราะเชื่อว่าถ้าเราทานอาหารอย่างมีความสุข ในปริมาณที่เหมาะสม สุขภาพเราก็จะดีเองค่ะ) ที่ชอบที่สุดของขนมปังนี้คือเนื้อขนมปัง แล้วก็ กลิ่นหอม เอามาทำแซนวิชก็ดีค่ะสูตรนี้มาจากหนังสือ Baking Illustrated: A Best Recipe Classic โดย the editors of cook’s illustrated magazine (ถ้าเคยอ่านนิตยสาร cook’s illustrated magazine, ก็จะรู้ว่าเขาจะทดสอบสูตรหลายแบบหลายรอบ ก่อนที่จะนำมาตีพิมพ์ ดังนั้นสูตรอาหารทั้งหลายก็เชื่อถือได้ค่ะ เพราะเขาบอกว่าเขาทำพลาดเพื่อพวกเราจะได้ไม่ต้องพลาดไงคะ) ขนมปังสูตรนี้ทำง่าย แล้วจะยิ่งง่ายขึ้นถ้าใช้เครื่องค่ะ (แนะนำว่าถ้าเป็น Kitchenaid ก็จะดีมากค่ะเพราะแป้งเหนียวอาจทำให้เครื่องเล็กเสียหายได้ค่ะ) ขนมปังออกมาเนื้อนุ่มแต่มีอะไรให้เคี้ยวเยอะดีค่ะ แค่ทาเนยนิดๆก็อร่อยแล้ว แนะนำให้ลองทำดูค่ะ รสชาติดี แล้วยังดีต่อสุขภาพด้วย

ขนมปังโฮลวีล กับจมูกข้าวสาลีและแป้งไรท์

Whole Wheat Bread with Wheat Germ and Rye

ทำได้ขนาดขนมปังขนาด 9นิ้ว 2ก้อนค่ะ




2cups

น้ำเปล่า

1½ tablespoons

instant yeast

¼ cup

น้ำผึ้ง

4 tablespoons

เนยจืด (ละลาย)

2 ½ teaspoons

เกลือ

¼ cup (⅞ounce)

แป้งข้าวไรท์ (rye flour)

½ cups

จมูกข้าวสาลีอบ (toasted wheat germ)

3 cups (16 ½ ounces)

แป้งโฮลวีล (whole-wheat flour)

2¾cups (13¾ounces)

แป้งอเนกประสงค์ (เตรียมไว้เพื่อโรยโต๊ะเวลานวดด้วยนะคะ)

1.ใส่น้ำ ยีสต์ น้ำผึ้ง เนย และเกลือ ลงในอ่างผสมของเครื่องนวด แล้วใส่ แป้งข้าวไรท์ จมูกข้าวสาลีอบ แป้งโฮลวีล 1 ถ้วยและ แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย ผสมให้เข้ากันด้วย พายยาง

2. ใส่แป้งโฮลวีล และ แป้งอเนกประสงค์ที่เหลือลงไปให้หมด ใช้หัวตะขอ นวดแป้งด้วยความเร็วต่ำ จนโด เนียน (smooth and elastic) ประมาณ 8นาที เอาโดออกจาก อ่างวางลงบนพื้นที่โรยแป้งไว้ นวดอีกเล็กน้อย ประมาณ 30 วินาที

สำหรับการนวดด้วยมือ: ใส่น้ำ ยีสต์ น้ำผึ้ง เนย และเกลือ ลงในอ่างผสมใบใหญ่ แล้วใส่ แป้งข้าวไรท์ จมูกข้าวสาลีอบ ผสมแป้งโฮลวีลถ้วยและ แป้งอเนกประสงค์ ผสมให้เข้ากันด้วย ใส่ส่วนผสมของแป้ง 4 ถ้วยลงใน ส่วนของเหลว คนด้วยช้อนไม้ประมาณ 5นาที ใส่ส่วนผสมของแป้งอีก1 ½ถ้วย จนเป็นโดข้นๆ เอาโดออกจาก อ่างวางลงบนพื้นที่โรยแป้งไว้ โรยด้วยแป้งที่เก็บไว้ นวดต่อโดยสามารถใช้แป้งอเนกประสงค์ อีกเล็กน้อย (หรือจนโด เนียนและไม่ค่อยติดมือ) ประมาณ 5นาที

3. ใส่โดลงในอ่างผสมที่มาน้ำมันไว้บางๆ ปิดด้วยพลาสติก รอให้ขึ้น 2 เท่าประมาณ 1 ชั่วโมง

4. เปิดเตาอบรอไว้ที่อุณหภูมิ 190°C .ไล่อากาศออกจาก doughเล็กน้อยโดยการกดแป้งให้แบน แล้วแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆกัน

นำ dough วางลงบนพื้นที่โรยแป้งไว้ ใช้ที่รีดแป้งรีดให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาด 9นิ้ว ม้วนแป้งให้เป็นทรงกระบอก พยายามจับให้ด้านข้างเท่ากัน ปิดรอยแยกโดยการกลิ้งไปมา แล้ววางลงในพิมพ์ขนาด 9 x 5 นิ้วโดย วางด้านที่มีรอยแยกไว้ด้านล่าง, กดเบาๆให้ขนมปังติดกับมุมทั้ง 4 ด้านปิดด้วยผ้า รอให้ขึ้นจน dough มีขนาดสองเท่า, ประมาณ 30 นาที

5.นำเข้าอบ จนขนมปังมีสีเหลืองสวย และเมื่อใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ ภายในขนมปัง ประมาณ 205 °F ประมาณ35- 45 นาที เอาออกจากเตา เอาขนมปังออกจากพิมพ์ รอจนเย็นแล้วจึงหั่น

จากหนังสือ: Baking Illustrated: A Best Recipe Classic

Thursday, January 10, 2008

ลองทำขนมปังแบบใหม่ๆ สำหรับ ปีใหม่ค่ะ

ปีใหม่ผ่านไปแล้วนะคะ เราก็ยังคงทำกับข้าว และขนมอยู่เหมือนเดิม คนส่วนใหญ่มักจะตั้งเป้าหมายใหม่ๆ เราเองก็เหมือนกัน คิดว่าอยากทำอะไรใหม่ๆ ลองสูตรที่ไม่เคยทำมาก่อน อยากจะอ่านหนังสือให้มากขึ้น มีหนังสือบนชั้นหลายเล่มที่ยังไม่เคยอ่านเลย และก็อยากเพิ่มความหลากหลายให้กับบล็อกด้วย

หลังจากปาร์ตี้ผ่านไป เราก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือ พยายามหาสูตรใหม่ๆ ที่จะเอามาลองทำ จริงๆแล้ว โดยส่วนตัวแล้วตัวเองมักจะตื่นเต้นไปกับพวกอาหาร หรือขนม ไม่ว่าจะเป็นเค้ก, คุกกี้, ขนมปัง และอื่นๆ ซึ่งมักจะมานั่งจินตนาการก่อน ว่าหน้าตา และรสชาติของมันจะเป็นอย่างไร (หวังอยู่ลึกๆ ว่ามันจะออกมาดี ประมาณว่า เป็นสูตรที่ได้รับประทานมาจากพระเจ้า) ก็รู้นะว่าคนส่วนใหญ่คงไม่บ้ามานั่งคิดแบบเราแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกยอมรับตัวเองได้ค่ะ

ว่าไปแล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่านะ ปรกติไม่ทำเองนะคะ เพราะ เวลาเห็นแล้วอดซื้อไม่ได้ Melon Bread หรือ Melon-pan ขนมปังน่ารักๆ ที่มีคุกกี้อยู่ด้านบน จะทานเป็นอาหารเช้าก็ได้หรือจะเป็น ของว่างก็ดีนะคะ รับรองไม่ผิดหวังค่ะ

ขนมปังเมล่อน

Melon Bread

ทำได้ 8 ชิ้นค่ะ


ขนมปัง
200 g แป้งขนมปัง (เตรียมไว้เพื่อเวลานวดด้วยนะคะ)
1⅓ tsp Instant dried yeast
2 tbsp น้ำตาล
30 g เนยจืด (นิ่ม)
120 ml นมสด
1ฟอง ไข่แดง
¼ tsp เกลือ
คุกกี้
200 g แป้งเค้ก (เตรียมไว้เพื่อเวลานวดด้วยนะคะ)
¼ tsp ผงฟู
¼ tsp เกลือ
40 g น้ำตาล
50 g เนยจืด (นิ่ม)
1ฟอง ไข่



น้ำตาล 1 ถ้วยสำหรับจุ่มหน้าขนมปัง

ใส่แป้งครึ่งหนึ่งลงผสมกับ Instant dried yeast ในชาม คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาล เกลือ แล้วคนอีกรอบ ใส่ส่วนผสมของไข่กับนม ลงไปในแป้ง ใช้พายยางหรือช้อนคันใหญ่คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่แป้งที่เหลือลงไป นวดเล้กน้อยให้แป้งจับตัวรวมกัน นำก้อนแป้งออกจากชาม นวดประมาณ 5 นาที ใส่เนยแล้วนวดจนเข้ากันดี (รวมเวลานวดทั้งหมด ประมาณ 10นาที) จนแป้งเนียน และนุ่ม

นำก้อนแป้งใส่ลงใน ชามที่ทาเนยไว้ พักแป้งไว้จนขึ้นประมาณ 2 เท่า (1 ชม-1 ชมครึ่ง แล้วแต่ความร้อนของอุณหภูมิห้อง)

ขณะเดียวกันเตรียมส่วนคุกกี้ โดยการร่อนแป้ง ผงฟูและเกลือ รวมกันแล้วพักไว้ ตีเนยกับน้ำตาลรวมกัน จนฟูขาวใส่ไข่ลงไป ตีให้เข้ากัน แล้วใส่แป้งลงไป คนให้เข้ากันดี ปั้นเป็นแท่งยาว ห่อด้วยพลาสติก แล้วนำไปแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ 25 นาที




นำแป้งออกจากชาม ตัดเป็น 8 ส่วน ปั้นเป็นก้อนกลม แล้วพักไว้ 10 นาที

นำส่วนของคุกกี้ออกมาจาก ตู้เย็น ตัดเป็นชิ้น 8 ชิ้น แล้วรีดเป็นแผ่นกลมบาง ขนาดพอที่จะคลุมขนมปังได้ วางคุกกี้บนขนมปังแล้วคลุมให้มิดด้านบน จุ่มด้านบนของขนมปังลงในชามที่ใส่น้ำตาลไว้ แล้วใช้ด้านหลังของมีดกดให้เป็นลาย



วางขนมปังลงบนถาด ที่ทาเนยบางๆ หรือรองด้วยกระดาษ เปิดเตาอบไว้ที่อุณภูมิ 180°C. ปล่อยให้ขนมปังขึ้นเกือบ 2เท่า แล้วนำเข้าอบนาน 10 นาที

Monday, January 7, 2008

ขนมปังหน้าครีมชีสและอัลมอนล์

cheese morning bread หอมๆใครก็ปฏิเสธไม่ลงใช่ไหมค่ะ พอได้กลิ่นแล้วเหมือนโลกจะสดใสขึ้นเลย ขนมปังหน้าครีมชีสและอัลมอนล์ สูตรนี้มาจากหนังสือGreat Coffee Cakes, Sticky Buns, Muffins & More: 200 Anytime Treats and Special Sweets for Morning to Midnight ค่ะ ครั้งที่แล้วทำ ครัมบัน แล้วใช้เนื้อขนมปังตัวเดียวกันค่ะ หน้าครีมชีสจะออกเปรี้ยวเล็กน้อย ตัดกับอัลมอนล์ที่ออกหวานกรอบ เหมาะมากๆกับ lazy morning ค่ะ

ขนมปังหน้าครีมชีสและอัลมอนล์

CHEESE KUCHEN

ทำได้พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 9 x 9 x 2 นิ้ว



½ recipe (about 1 pound)

Rich Sour Cream Dough(ดูสูตรได้จาก ครัมบัน CRUMB BUNSค่ะ)

ส่วนครีมชีส

3 tablespoons

ลูกเกด

1 (8-ounce) package

ครีมชีส

¼ cup

น้ำตาล

1

ไข่แดง

1 tablespoon

แป้งอเนกประสงค์

1 tablespoon

sour cream

1 teaspoon

น้ำมะนาว

½ teaspoon

ผิวมะนาวขูด

½ teaspoon

pure vanilla extract

หน้าอัลมอนล์

4 tablespoons

อัลมอนล์แบบสไลด์

3 teaspoons

น้ำตาล

¼ teaspoon

อบเชยป่น

1. เอาขนมปังออกจากตู้เย็นก่อนขึ้นรูปประมาณ 1 ถึงชั่วโมง ก่อนขึ้นรูป

2. ทาพิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 9 x 9 x 2 นิ้วด้วยเนย โรยแป้งไว้บางๆบนโต๊ะ นวดโดเบาๆจนเนียน (ประมาณ 6-8ครั้ง) วางให้เป็นแผ่น สี่เหลี่ยม จัตุรัส กดเบาๆให้โดเท่าพิมพ์ แล้วกดให้ขอบด้านข้างสูงประมาณ¾ นิ้วหนา ¼ นิ้ว (ถ้าโดไม่ยืดตัวพอให้พักแป้งสักครู่แล้วค่อยทำต่อ) ใช้ส้อมจิ้ม 10 ถึง 12 ครั้งแล้วคลุมแป้งไว้ พักไว้ประมาณ 25-30นาที หรือจนพองฟู แต่ไม่ถึง 2 เท่า

3. ช่วงที่โดพักอยู่ เตรียม ใส้ชีส เริ่มต้นโดยตีครีมชีสให้เนียน ค่อยๆใส่น้ำตาล ตีให้เข้ากัน ใส่ไข่แดง, แป้ง, sour cream, น้ำมะนาว, ผิวมะนาว และ vanilla แล้วใส่ลูกเกด

4. ก่อนอบ 15นาที ให้เปิดเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 350°F

5. พอแป้งพองฟูดี ค่อยๆตักส่วนผสมของชีสวางบนโด โดยเว้นช่องด้านข้างไว้ประมาณ 1 นิ้ว ระวังอย่ากดโด แล้วปาดให้เรียบทั่ว

6. ผสม อัลมอนล์ น้ำตาล และอบเชยป่น แล้วโรยให้ทั่วใส้ชีส

7. ใช้แผ่น aluminum foil รองเพื่อกันไม่ให้ใส้หกลงพื้นเตา นำเข้าอบประมาณ 35-40 นาที หรือจนสีเหลืองสวย เอาออกจากเตาพักไว้บนตะแกรงประมาณ 30 นาที แบ่งเป็นชิ้นก่อนเสิร์ฟ

ปรับสูตรจาก : Great Coffee Cakes, Sticky Buns, Muffins & More: 200 Anytime Treats and Special Sweets for Morning to Midnight, by Carole Walter

Printfriendly